วันศุกร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2553

10 สุดยอดสถานที่ท่องเที่ยวโรแมนติกที่สุดในโลก

นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ถือว่าเป็นเรื่องจำเป็นที่คู่รัก จะต้องแสดงออกถึงความรักระหว่างกันและกัน การแสดงออก ในเรื่องความรัก หมายถึง การทำให้ฝ่ายตรงข้ามรู้สึกประทับใจ รู้สึกดี รู้สึกผูกพัน รู้สึกว่าได้ใช้ชีวิตร่วมกัน อย่างเกิดประโยชน์มากขึ้น วิธีแสดงออกถึงความรัก ที่เป็นที่นิยมอีกสิ่งหนึ่งก็คือ การได้ใช้เวลาไปท่องเที่ยวพักผ่อนด้วยกันในสถานที่สวย ๆ เพื่อเพิ่มความโรแมนติก และกระชับสายสัมพันธ์ ให้แน่นแฟ้นมากขึ้นไปอีก

ต่อไปนี้คือ 10 อันดับสถานที่ ที่ถูกจัดว่า มีความโรแมนติกมากที่สุดในโลก ซึ่งน่าจะหาโอกาสพาคนรัก ไปเยี่ยมชม สักครั้งหนึ่งในชีวิต

อันดับที่ 1. Mauritius Island มหาสมุทรอินเดีย สถานที่แห่งนี้ ได้รับการกล่าวขานว่า “ปลายทางสุดท้าย ที่โรแมนติกมากที่สุด” (Ultimate Romantic Destination) เกาะ Mauritius มีชื่อเสียง อย่างมาก ในหมู่คู่รักที่จะมาท่องเที่ยว หรือคู่รักที่จะมาฮันนีมูน ต้นปาล์มมากมายที่เคลื่อนที่พริ้วไหว ไปตามสายลม บรรยากาศที่สวยงามตามธรรมชาติ แนวหินปะการัง และท้องทะเลสีฟ้า เป็นส่วนหนึ่งในอีกหลาย ๆ สิ่ง ที่ทำให้สถานที่แห่งนี้สวยงามจนยากที่จะลืมเลือน



อันดับที่ 2. Cairo ประเทศอียิปต์ เมือง Cario ก็ได้รับการกล่าวขานว่า เป็นสวรรค์บนโลกเช่นเดียวกัน (โดยเฉพาะสำหรับคู่รัก) ความงดงามและมนต์เสน่ห์ที่อยู่ในตัวเมือง คือแรงดึงดูด ให้คู่รักเดินทางมาใช้เวลาท่องเที่ยวที่นี่ด้วยกัน และปิรามิด ก็คือสิ่งที่พิเศษที่สุด ท่ามกลางความสวยงามในตัวเมือง



อันดับที่ 3. New York ประเทศสหรัฐอเมริกา เมือง New York เหมาะสำหรับคู่รัก ที่กำลังมองหาสถานที่ที่จะใช้ ช่วงเวลาแห่งความรัก และความโรแมนติก ในหลากหลายรูปแบบ ร้านอาหาร และร้านค้าจำนวนมาก และสถานที่น่าสนใจอื่น ๆ เช่น สถานีรถไฟ Grand Central Terminal, อนุสาวรีย์เทพีสันติภาพ และสวนหย่อมขนาดใหญ่ Central Park (มีกิจกรรมคอนเสิร์ต, มีลานสเก็ตน้ำแข็ง)



อันดับที่ 4. Prague สาธารณรัฐเช็ก อีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ สำหรับสถานที่โรแมนติก ก็คือ เมือง Prague ของสาธารณรัฐเช็ก สถานที่แห่งนี้ขึ้นชื่อเรื่องอาหารอร่อย วัฒนธรรม และปราสาทเก่าแก่ ผู้คนที่มีมิตรไมตรี และสุภาพอ่อนโยน เมือง Prague เป็นสถานที่เกิดของนักดนตรีระดับโลก อย่าง Mozart และมีชื่อเสียง ในเรื่องของทางเดินอันสวยงามในเมือง ที่คู่รักสามารถใช้เวลาเดินเล่นด้วยกัน



อันดับที่ 5. Monte Carlo ประเทศโมนาโค เมือง Monte Carlo ยังเป็นอีกหนึ่งสถานที่โรแมนติก ที่คุณจะได้สื่อความรัก ไปยังคนรักของคุณ เมืองนี้ตั้งอยู่ที่ตีนของเทือกเขาแอลป์ และเป็น สถานที่ที่มีเรื่องราวของความรัก ก่อกำเนิดขึ้นมากมาย สิ่งที่น่าสนใจของเมือง Monte Carlo คือบ่อนคาสิโนเลื่องชื่อ (Monte Carlo Casino) พิพิธภัณธ์ทางทะเล, พิพิธภัณฑ์ประจำชาติ และพระราชวัง Prince



อันดับที่ 6. Vienna ประเทศออสเตรีย เมือง Vienna ในประเทศออสเตรีย เป็นอีกสถานที่ที่มีคู่รักจากทั่วทุกมุมของโลก แวะเวียนมาเยี่ยมชมความสวยงาม สิ่งที่ขึ้นชื่อของเมืองนี้คือ สุดยอดสถาปัตยกรรม และสุดยอดผลงานเพลง, ศิลปะ และพิพิธภัณฑ์ศิลปะ ที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก พระราชวัง Schoenbrunn, พระราชวัง Belvedere, พระราชวัง The Hofburg Imperial และพิพิธภัณฑ์นักจิตวิทยาผู้โด่งดัง Sigmund Freud



อันดับที่ 7. Schloss Neuschwanstein ประเทศเยอรมันนี สถานที่ที่ผสมผสาน ความสวยงามตามธรรมชาติ เข้ากับจินตนาการ และความสร้างสรรค์ของมนุษย์ ได้อย่างลงตัว เมือง SchlossNeuschwanstein มีความสวยงาม ราวกับเป็นสวรรค์บนพื้นโลก รายล้อมไปด้วยทิวทัศน์อันสวยงาม ปราสาทเก่าแก่อายุ 100 กว่าปี (สร้างปี 1899) ซึ่งเยอรมัน ได้ถูกกล่าวขานว่า เป็นอีกประเทศหนึ่ง ที่มีปราสาทสวยงามที่สุดในยุโรป



อันดับที่ 8.Venice ประเทศอิตาลี หากคุณกำลังมองหาสถานที่ ที่จะเอ่ยกับคนรักว่า เขาหรือเธอ เป็นคนที่มีค่ามากที่สุดในชีวิต Venice ก็คือ คำตอบสุดท้ายสำหรับคุณ! เมือง Venice มีชื่อเสียงโด่งดังในด้าน สุดยอดสถาปัตยกรรม และยังมีหลายสถานที่โรแมนติก เช่น สะพานเก่าแก่ Ponte dei Sospiri, จตุรัส Piazza San Marco ที่ได้รับสมณานามว่า “ห้องจิตรกรรมของยุโรป” (The - drawing room of Europe) และคลองในตัวเมือง “Canale Grande” ทั้งหมดนี้จะสร้าง ความโรแมนติก ระดับหรูหรา ให้กับคนรักและตัวคุณ



อันดับที่ 9. Paris ประเทศฝรั่งเศส เมืองปารีส มีสมญานามว่า “สวรรค์แห่งความโรแมนติก” (Heaven of Romantic) ดังที่ สถานที่แห่งนี้ เหมาะเป็นอย่างยิ่งที่คุณและคนรัก จะสารภาพ “รักนิรันดร์” ระหว่างกันและกัน สิ่งที่น่าประทับใจในเมืองปารีส อย่างเช่น พิพิธภัณฑ์ Le Louvre (พิพิธภัณฑ์ ที่มีผู้เข้าเยี่ยมชมมากที่สุดในโลก) หอไอเฟล ,โรงแรม Disney Land Resort ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุโรป พิพิธภัณฑ์ศิลปะ Centre Pompidou และสถานที่สวยงามอื่น ๆ อีกมากมาย การไปเที่ยว กับคนรักที่ปารีส หากจัดสรรเวลาให้ดีก็จะคุ้มค่ามาก และสถานที่แห่งนี้จะเก็บความโรแมนติก อยู่ในใจของคุณไปอีกนานแสนนาน

อันดับที่ 10. Colmar ประเทศฝรั่งเศส เมือง Colmar ถูกจัดให้เป็นเมืองที่มีความโรแมนติก เมืองหนึ่ง ของประเทศฝรั่งเศส และเป็นสถานที่ที่คู่รัก มักจะให้คำสัญญาในความรักระหว่างกันและกัน สิ่งที่น่าประทับใจในเมือง Colmar ก็คือ ไร่องุ่นจำนวนมาก เคียงคู่ไปกับอุตสาหกรรมการผลิตไวน์ชั้นเยี่ยม และบรรยากาศ ที่สวยงาม สถาปัตยกรรมของอาคารบ้านเรือนเก่าแก่ ช่วยทำให้เมือง Colmar เป็นอีกหนึ่งในสถานที่โรแมนติกในฝัน

เนยแข็ง หรือ Cheese เป็นอาหารอย่างหนึ่งที่เป็นที่นิยมไปทั่วโลกและมีการพัฒนารูป รส กลิ่นของเนยแข็งออกไปอย่างมากมายตามความนิยมและวัฒนธรรมการบริโภคของคนในแต่ละพื้นที่ แต่วันนี้ผมจะมาเล่าถึงกำเนิดของเนยแข็ง ว่ามีที่ไปที่มากันอย่างไรถึงได้มาเป็นเนยแข็งสุดยอดอาหารยอดนิยมของโลกในวันนี้

กำเนิดของเนยแข็งนั้น ไม่มีเอกสารใดที่อ้างอิงไว้อย่างเป็นทางการ มีเพียงตำนานเล่าขานกันว่าเนยแข็งนั้นได้ถือกำเนิดเมื่อ 4,000 ปีก่อนคริสต์กาลในทะเลทรายแถบตะวันออกกลาง โดยชายชาวอาหรับคนหนึ่ง ซึ่งตำนานก็ไม่ได้บอกว่ามีชื่อว่าอะไร ได้เดินทางข้ามทะเลทรายโดยใช้อูฐเป็นพาหนะและเขาได้บรรจุนมใส่ในกระเป๋าใบเล็กๆ ที่ทำจากกระเพาะแกะ เพื่อใช้เป็นเสบียงระหว่างเดินทาง แล้วก็เดินทางรอนแรมไปในทะเลทราย จนเกิดกระหายน้ำขึ้นมา จึงยกกระเป๋าขึ้นหมายจะดื่มนมให้สมใจ แต่กลับพบว่า นมแยกออกเป็น 2 ชั้น ชั้นหนึ่งมีลักษณะเป็นก้อนข้นขาว ส่วนอีกชั้นหนึ่งเป็นน้ำสีขุ่นคล้ายหางนม

เหตุที่ทำเป็นเช่นนี้ ก็เพราะในเยื่อบุของกระเพาะแกะ มีเอนไซม์ที่ชื่อว่า 'เรนนิน' ซึ่งเมื่อรวมกับความร้อนในทะเลทรายที่ทำให้นมอุ่นขึ้น และแรงสั่นสะเทือนอันเกิดจากการเคลื่อนไหวของอูฐ ทำให้นมเกิดแยกออกเป็น 2 ชั้น และเทคนิคอันนี้เองที่ถูกนำมาใช้ในการผลิตเนยแข็งจนทุกวันนี้ อย่างไรก็ตาม ชายอาหรับคนนี้ แกก็ไม่ได้สนใจเทคนิคที่พบโดยบังเอิญนี้เท่าใดนัก แกรู้แต่เพียงว่า หางนมนั้นยังกินได้ และส่วนก้อนๆ แข็งๆ นั่น ก็อร่อยดีเท่านั้นเอง

เมื่อชายอาหรับคนนี้นำเรื่องนี้ไปเล่าให้เพื่อนๆ ฟัง เทคนิคนี้ก็ได้นำมาใช้เพื่อให้การเก็บนมทำได้ง่ายขึ้น และนานขึ้นในระหว่างการเดินทางเท่านั้นเอง จนกระทั่งถึงยุดของมองโกลเรืองอำนาจเทคนิคการเก็บรักษานม โดยทำเป็นเนยแข็งก็ได้ถูกใช้อย่างแพร่หลายเพื่อใช้เป็นอาหารที่อุดมด้วยคุณค่าให้กับนักรบมองโกล

เมื่อถึงยุคสมัยที่โรมันเรืองอำนาจ ก็เริ่มมีการผลิตเนยแข็งตามครัวเรือน อย่างเป็นล่ำเป็นสัน ขั้นตอนการผลิตต่างๆ ถูกพัฒนา จนได้เนยแข็งหลากหลายรส เนยแข็งกลายเป็นอาหารของขุนนางชั้นสูง และเผยแพร่ไปทั่วยุโรปตามเหล่าทหารโรมัน ที่ยกพลไปบุกประเทศต่างๆ จนถึงยุคกลาง บาทหลวงกลายเป็นผู้ที่มีบทบาทในการพัฒนาเนยแข็ง ให้มีหลากรสชาติมาก

ปัจจุบันเรามีเนยแข็งถึงกว่า 2,000 ชนิดโดยมีส่วนผสมและรสชาติที่แตกต่างกันออกไป ในศตวรรษที่ 19 เนยแข็งก็กลายเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ที่มีความสำคัญมาก เพราะเนยแข็งกลายเป็นผลิตภัณฑ์นมที่มีคนนิยมบริโภคไปทั่วโลก

วันพุธที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2553

เค้กช็อกโกแลต









วันชาติฝรั่งเศส

วันชาติฝรั่งเศสตรงกับวันที่ 14 กรกฎาคมของทุกปี ซึ่งถือเป็นวันแห่งการปฎิวัติการปกครองจากระบบเจ้าขุนมูลนายไปสู่การปกครองในระบอบสาธารณรัฐ โดยประชาชนทั่วทั้งประเทศได้ลุกฮือขึ้นต่อต้านการปกครองแบบยุกโบราณจนกระทั้งได้รับชัยชนะเป็นครั้งแรกจากบุกเข้าทลายคุกบาสติลที่เปรียบเสมือนเป็นสัญลักษณ์ของการกดขี่ประชาชน เมื่อ 209 ปีก่อนและนำไปสู่การล้มล้างระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ได้สำเร็จ โดยสมัชชาแห่งชาติได้กำหนดโครงสร้างกฏหมายฉบับใหม่ที่ยกเลิกการให้ความมีเอกสิทธิ์ ขจัดเรื่องสินบนและล้มเลิกระบบฟิวดัล(ระบบศักดินา) จากนั้นต่อมาจึงมีการจัดงานฉลองแห่งชาติขึ้นเรียกว่า "The Feast of the Federation" เนื่องในโอกาสครบรอบ 1 ปีของเหตุการณ์จลาจลที่กองกำลังแห่งชาติจากทั่วประเทศได้เดินทางรวมพลกันที่ "Champs-de-Mars" ในกรุงปารีส

แต่พอหลังจากนั้นการจัดงานฉลองเพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ของวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ.2332 ก็ต้องหยุดไปเนื่องจากสถานการณ์ภายในประเทศยังคงไม่สงบเกิดสงครามปฏิวัติขึ้นหลายครั้งในช่วงระยะเวลาปี พ.ศ.2335-2345 และมาในสมัย "the Third Republic*"นี้เอง รัฐบาลจึงได้มีความคิดที่จะรื้อฟื้นการจัดงานเฉลิมฉลองวันชาติฝรั่งเศสขึ้นมาใหม่ โดยมีการผ่านร่างกฎหมายฉบับเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ.2423 ขึ้นมา ซึ่งกำหนดให้วันที่ 14 กรกฎาคม ของทุกปีเป็น "วันชาติฝรั่งเศส"และได้จัดงานเฉลิมฉลองครั้งแรกขึ้นในปีเดียวกันนั้น

ทั้งนี้งานจะเริ่มตั้งแต่ค่ำของวันที่ 13 โดยจะมีการแห่คบเพลิงและล่วงเข้าวันรุ่งขึ้นเมื่อระฆังตามโบสถ์วิหารต่าง ๆ หรือเสียงปืนดังขึ้นนั่นเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่างานฉลองได้เริ่มต้นขึ้นแล้วอย่างเป็นทางการ เริ่มจากริ้วขบวนการสวนสนามของเหล่าทัพ จากนั้นเมื่อถึงช่วงเวลากลางวันประชาชนจะร่วมฉลองด้วยการเต้นรำอย่างรื่นเริงสนุกสนานไปตามท้องถนนและมีการจัดเลี้ยงกันอย่างเอิกเกริกจนถึงเวลาค่ำ ซึ่งสิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือการจุดพลและการละเล่นดอกไม้ไฟที่ถือประเพณีปฏิบัติจนถึงปัจจุบัน นอกจากนั้นยังมีสิ่งสร้างความบันเทิงอื่น ๆ อีกมากมายที่จัดขึ้นทั่วประเทศทั้งการจัดการแข่งขันกีฬา การจัดนิทรรศการ งานแสดงสินค้า โดยไม่มีชาวฝรั่งเศสคนใดจะละเลยไม่นึกถึงและร่วมฉลองในวันสำคัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศครั้งนี้



ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-ฝรั่งเศสนั้นเริ่มมีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกันอย่างเป็นทางการเมื่อ 300 ปีก่อน ซึ่งพระเจ้าหลุยส์ ที่ 14 ทรงแต่งตั้งคณะทูตเดินทางมาเจริญสัมพันธ์ไมตรีกับประเทศไทยในรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์ถึงกรุงศรีอยุธยา ขณะเดียวกับพระองค์ทรงส่งคณะทูตฝ่ายไทยเข้าเฝ้าพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ถึงพระราชวังแวร์ซายส์เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนอีกด้วย นับแต่นั้นเป็นต้นมาความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศจึงปฏิบัติสืบต่อเรื่อยมาถึงทุกวันนี้ โดยทั้งสองฝ่ายต่างแลกเปลี่ยนความร่วมมือทั้งทางด้านวัฒนธรรม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การศึกษาและอื่น ๆ อีกมาก ทั้งนี้กระทรวงและองค์กรต่าง ๆ ของฝรั่งเศสได้ให้การช่วยเหลือแก่ประเทศไทยนำไปใช้ในโครงการต่าง ๆ เป็นเงินกว่า 250 ล้านบาท แต่กระนั้นก็ตามฝรั่งเศสก็ยังเป็นที่รู้จักกันแพร่หลายไม่มากนักสำหรับคนไทย แม้ว่าจะมีบทบาทในฐานะประเทศที่ยังใหญ่ในด้านศิลปวัฒนธรรมมาช้านานก็ตาม แต่ทั้งนี้ในความจริงแล้วนั้นฝรั่งเศสจัดได้ว่าเป็นประเทศที่ 4 รองจากญี่ปุ่น,เดนมาร์ก และเยอรมณีในการให้ความร่วมมือกันมากที่สุดในระดับทวิภาคี

นอกจากนี้ในช่วงระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมาฝรั่งเศสได้ตอกย้ำที่จะดำเนินการส่งเสริมด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีตลอดจนสาขาอื่น ๆ ให้แพร่หลายมากยิ่งขึ้น ในขณะที่ประเทศไทยต้องประสบกับภาวะวิกฤติทางเศรษฐกิจ อยู่นี้จนก่อให้เกิดผลกระทบต่อนักเรียนนักศึกษาที่ได้รับทุนจากรัฐบาลและทุนส่วนตัว จึงได้มีการจัดนิทรรศการการศึกษาในฝรั่งเศส เพื่อให้เข้าใจว่าแท้จริงแล้วการศึกษาในฝรั่งเศสไม่แพงอย่างที่คิด ซึ่งเสียค่าเล่าเรียนตกปีละ 10,000 บาทโดยประมาณเพื่อนำความรู้ที่ได้กลับมาพัฒนาประเทศ

ในเรื่องของความสัมพันธ์ทางด้านเศรษฐกิจระหว่างฝรั่งเศสกับไทย ซึ่งรู้กันดีว่ากำลังกดดันจากปัญหาวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจตั้งแต่วันที่ 2 กรกฎาคม ปีที่แล้วแต่อย่างไรก็ดีภาพที่ออกมากลับตัดกันอย่างสิ้นเชิง โดยสินค้าผู้บริโภคที่ฝรั่งเศสนำเข้าประเทศไทยนั้นอยู่ในระดับคงที่ ขณะที่ประเทศไทยกลับส่งสินค้ามากขึ้นสาเหตุจากการลดค่าเงินบาท จึงส่งผลให้มีส่วนส่งเสริมการส่งออกของสินค้าของไทยได้มากขึ้น ซึ่งบรรดาบริษัทของชาวฝรั่งเศสซึ่งเป็นฐานการส่งออกของสินค้าไทยต่างรู้พึงพอใจกับยอกการส่งออกไปสู่ตลาดทั่วโลกพุ่งสูงขึ้น แต่อย่างไรก็ตามการมุ่งเน้นที่ตลาดภายในประเทศของบริษัทย่อยของฝรั่งเศสประจำปรเทศไทยภาพที่ออกมาปรากฎผลดีในระยะสั้นเท่านั้น แต่หัวใจสำคัญก็คือการลงทุนซึ่งประเทศไทยได้มุ่งเป้าไปที่แผนการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ โดยได้มีการร่างในรายละเอียดของแผนการใหญ่เพื่อดึงนักลงทุนต่างชาติให้ห้นมาลงทุนในประเทศไทย ซึ่งกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ของฝรั่งเศสกำลังเฝ้าจับตามอง



ประเทศฝรั่งเศสเป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปตะวันตก มีประวัติศาสตร์ที่เจริญรุ่งเรืองมาช้านาน เป็นเวลาหลายศตวรรษมาแล้วที่ประเทศฝรั่งเศสได้รับการขนานนามว่าเป็นแหล่งกำเนิดศิลปและความคิดริเริ่มสร้างสรรอันสำคัญของโลก คำว่า "ฝรั่งเศส" มีความหมายหลายประการเกี่ยวกับความก้าวหน้าด้านต่าง ๆ เช่น ความเป็นผู้นำทางการเมืองและการปกครอง ประเทศฝรั่งเศสได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งการปฏิวัติตลอดการและเป็นประเทศมหาอำนาจที่สำคัญประเทศหนึ่ง ประเทศฝรั่งเศสมีชื่อเสียงทางด้านศิลป ปรัชญา, วรรณคดี, ลักษณะ, สังคม, แฟชั่น หรือแม้แต่การดำเนินชีวิตโดยการแสวงหาความสุขมาบำเรอจิตใจและอาหารการกินอีกด้วย ด้านภาษาประจำชาติ ภาษาฝรั่งเศสนับเป็นภาษาสากลอันดับ 2 รองจากภาษาอังกฤษ ซึ่งมีผู้นิยมใช้ภาษาฝรั่งเศสอย่างกว้างขวาง ปรัชญาเมธีผู้มีแนวความคิดก้าวหน้าได้เกิดขึ้นในประเทศนี้มากมายหลายท่าน

กรุงปารีสได้ชื่อว่าเป็นมหานครที่มีความสวยงามที่สุดในทวีปยุโรป มีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ มีโบราณสถานที่สำคัญและมีคุณค่าทางศิลปกรรม เช่น พระราชวังแวร์ซายส์,หอไอเฟลและโบราณวัตถุทางศิลปด้านต่าง ๆ ที่น่าชม ประเทศฝรั่งเศสมีความรุ่งเรืองทางด้านวรรณกรรมและจิตรกรรมที่มีชื่อเสียงในโลก




ประเทศฝรั่งเศสเป็นประเทศที่มีขนาดพื้นที่กว้างใหญ่เป็นอันดับที่สอง ของทวีปยุโรป คือมี ขนาดรองจากประเทศรุสเซียและใหญ่กว่าประเทศอังกฤษ 2 เท่า แต่ถ้าจะเปรียบเทียบกับประเทศกลุ่มยุโรปตะวันตก 6 ประเทศซึ่งมี อังกฤษ, ไอร์แลนด์เหนือ,ไอร์แลนด์,ฝรั่งเศส,เบลเยี่ยม,เนเธอร์แลนด์,ลักเซมเบอร์ก, ในบรรดาประเทศเหล่านี้ประเทศฝรั่งเศสนับว่าใหญ่ที่สุดในเขตภูมิภาคนี้ อาณาเขต
ของประเทศฝรั่งเศส ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือจดประเทศเบลเยี่ยม ลักเซมเบอร์ก,เยอรมันนี, ทางด้านทิศตะวันออกติดต่อกับประเทศสวิส,อิตาลี,เยอรมนี, ด้านทิศตะวันตกจดอ่าวบิสเคย์และทิศตะวันตกเฉียงเหนือถึงช่องแคบอังกฤษ สำหรับทางตอนใต้ติดกับฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและติดต่อกับประเทศสเปน

ประเทศฝรั่งเศสมีพื้นที่รวมประมาณ 212,207 ตารางไมล์ หรือประมาณ547,026 ตารางกิโลเมตร พื้นที่บริเวณทางตอนเหนือซึ่งติดต่อกับประเทศเบลเยี่ยม บริเวณบางส่วนของทุ่งฟลานเดอร์สเคยเป็นสนามรบที่สำคัญในสงครามโลกครั้งที่ 1 และสงครามโลกครั้งที่ 2 ทหารของฝ่ายสัมพันธ์มิตรเคยพากันล้มตายมากมายในดินแดนดังกล่าว มีดอกไม้สีแดงขึ้นอยู่โดยทั่วไปในบริเวณนี้ ทุ่งกว้างแห่งนี้จะเบ่งบานด้วยดอกไม้สีสดไสไม่จืดตา แต่เป็นสัญญลักษณ์ที่ระลึกถึงผู้วายชนม์ในสงครามครั้นนั้นมาจนกระทั่งทุกวันนี้

พื้นที่ภูมิประเทศของฝรั่งเศสประมาณ 2 ในสามส่วนจะเป็นที่ราบ ที่ราบสูงและภูเขาจะอยู่ทางทิศตะวันออกและบริเวณส่วนกลาง ที่ราบที่สำคัญได้แก่ที่ราบลุ่มแม่น้ำลัวร์ ที่ราบลุ่มแม่น้ำการอนน์ ที่ราบลุ่มแม่น้ำโรน ส่วนทางทิศตะวันออกและตอนกลางของประเทศเป็นบริเวณที่มีภูเขา พื้นแผ่นดินจะเป็นที่ราบสูงตามเชิงเขา มีภูเขาที่สำคัญคือ ภูเขาแซแวง ภูเขาโคตดอร์ ภูเขาปีรีนิสเป็นภูเขายาวเหยียดตลอดแนวชายแดนภาคใต้ติดต่อกับประเทศสเปน และบริเวณนี้ยังเป็นที่อยู่อาศัยของชนชาวเขาเผ่าปาสต์ (Basgues) และเผ่าแคตาลาน (Catalan) ส่วนทางด้านชายแดนอิตาลีมีภูเขาแอลป์ปกคลุมด้วยหิมะทอโพลนตลอดเวลา ตอนเหนือของเทือกเขาแอลป์มียอดภูเขาสูงชื่อยอดบองบลังค์ สูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง 15,780 ฟุต นับเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในยุโรปตะวันตก ส่วนบริเวณด้านตะวันออกชายแดนที่ติดต่อกับสวิส มีภูเขาจูรา นอกจากนี้แล้วยังมีภูเขาวอสก์ (Vosges) เป็นภูเขาขนาดเล็กในมณฑลอัลซาสใกล้กับชายแดนสวิส.




ภูมิอากาศในภูมิภาคต่าง ๆ ของฝรั่งเศส คือ บริเวณตอนเหนือของประเทศจะมีอากาศคล้ายคลึงกับประเทศอังกฤษมาก คือ มีภูมิอากาศอบอุ่นและมีฝนตกชุก ส่วนทางด้านทิศตะวันออกแถบภูเขาแอลป์จะมีหิมะปกคลุม มีละอองหิมะและกลุ่มหมอกหนาทึบ ในฤดูร้อนทุ่งหญ้าจะอุดมสมบูรณ์เหมาะสมสำหรับการเลี้ยงสัตว์ นอกจากนี้ในฤดูหนาวและฤดูร้อนจะเป็นที่ตากอากาศสำหรับนักท่องเที่ยวอีกด้วย ภูมิอากาศแถบภูมิภาคตอนใต้บริเวณชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนอากาศจะหนาวจัด เนื่องจากลมหนาวซึ่งพัดมาจากบริเวณเทือกเขาแอลป์และไพรีนี ประกอบกับมีลมหนาวซึ่งพัดมาจากยอดเขามีความเร็วและรุนแรงดุจมายเฮอริแคน โดยจะพัดหนักอยู่ 3-4 วันติดต่อกัน ทำให้ต้นไม้ตามบริเวณเขตแดนเอนลู่โค้งคดโดยทั่วไป

ส่วนภูมิอากาศพื้นที่แถบเขตชายแดนบนฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก นับตั้งแต่เมืองดันเคิร์คตอนเหนือและตลอดถึงเมืองเฮ็นเดย์ตอนใต้จะมีลมทะเลพัดจากกระแสร์น้ำอุ่นกันฟ็สตรีม ช่วยเสริมให้อุณหภูมิบริเวณดังกล่าวไม่ร้อนหรือหนาวจัดจนเกินไป สำหรับภูมิอากาศทางภาคกลางซึ่งห่างไกลจากทะเลและภูเขาจะมีอากาศเปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาลและผันผวนผิดแยกไปบ้างเป็นครั้งคราว

ชีวิตความเป็นอยู่ของประชากรในภูมิภาคต่าง ๆ ประชากรชาวฝรั่งเศสมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในทางเชื้อชาติศาสนาภาษาและเคยเป็นมหาอำนาจซึ่งมีอาณานิคมกว้างขวางในทวีปยุโรป อาณานิคมของฝรั่งเศสเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอังกฤษก็จะไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันเลยประเทศซึ่งเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสบางส่วนแม้จะได้รับอิสระเป็นเอกราชปกครองตนเองก็ตาม แต่ทว่าความเกี่ยวพันทางการเมืองและเศรษฐกิจก็ยังผูกพันกับฝรั่งเศสอย่างเหนียวแน่นดังนั้น ประเทศฝรั่งเศสจึงกลายเป็นศูนย์กลางประชาคมของประเทศต่าง ๆ ซึ่งอยู่ในอาณานิคมหรือเครือจักรภพ เช่นแอฟริกาเหนือและแอฟริกากลาง เป็นต้น



ปารีส เป็นเมืองหลวงที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักโดยทั่วไปในฐานะที่เป็นนครหลวงที่สวยงามที่สุดในทวีปยุโรป มีโบราณสถานและอาคารซึ่งออกแบบโดยสถาปนิกที่มีชื่อเสียง โดยเฉพาะหอแอนไอเฟล (Eeffel Tower) เป็นสัญญลักษณ์ที่โดดเด่นประจำมหานครปารีส ได้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2432 เนื่องในโอกาสของงานมหกรรมโลก ซึ่งได้จัดขึ้นในปารีส ออกแบบเป็นลักษณะหอสูง คือ สองชั้นล่างเป็นสถานที่ร้านอาหารนา นาชนิด ชั้นที่ 3 ใช้สำหรับชมทีศนียภาพโดยรอบ ส่วนชั้นที่สูงสุดยอดถูกปิดตายไม่ให้ผู้คนขึ้น หอสูงไอเฟลเป็นหอคอยโครงเหล็กที่เคยถือว่าสูงที่สุดในโลกคือสูวถึง 985 ฟุต แต่ต่อมาภายหลังเมื่อมีการสร้างตึกไครส์เลอร์ในนิวยอร์คและหอโตเกียวซึ่งสูงถึง 1,092 ฟุต สถิติความสูงของหอไอเฟลจึงกลายเป็นรองไปแต่ชื่อเสียงของหอคอยแห่งนี้เป็นที่รู้จักแพร่หลายสำหรับชาวโลกมาช้านานแล้ว



ประชากรของประเทศฝรั่งเศสเท่าที่สำรวจครั้งล่าสุดในปี พ.ศ.2521 ปรากฎว่ามีพลเมืองประมาณ 50,300,000 คน ผู้คนพลเมืองจะมีอาชีพในทางการเกษตรกรรรมและอุตสาหกรรม แหล่งเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมได้แบ่งแยกออกไปตามความเหมาะสมเพื่อให้เกิดความสมดุลย์ระหว่างผลิตผลทั้งสองประเภทนี้ โดยคำนึงถึงปัญหาเรืองอาหารการกินของประชากรภายในประเทศ ปัญหาการใช้แรงงานในการผลิตอุตสาหกรรมให้เพียงพอสำหรับใช้สอยและส่งเป็นสินค้าออกไปแข่งขันกับนา นา ประเทศอย่างมั่นคง

เขตภูมิภาคประเภทเกษตรกรรม ได้แก่พื้นที่ราบลุ่มต่าง ๆ ซึ่งมีอยู่มากมายในส่วนต่าง ๆ ของประเทศ เช่น ที่ราบลุ่มบริเวณรอบนอกของปารีส มีการปลูกพืชจำพวกข้าวสาลี หัวผักกาด, น้ำตาล, เลี้ยงสัตว์จำพวกหมู, วัวนม, และสัตว์มีปีกอื่นๆ อีกตามสมควร

เขตอุตสาหกรรม แหล่งอุตสากรรมต่าง ๆ ของฝรั่งเศสกระจัดกระจายอยู่ในเมืองต่าง ๆ แต่พอจะจำแนกได้เป็น 4 เขตใหญ่ ๆ แต่ละเขตมีการผลิตอุตสาหกรรมประเภทต่าง ๆ ทั้งอุตสาหกรรมหนักและอุตสาหกรรมขนาดเล็ก โดยเฉพาะแร่เหล็กมีมากที่สุดในเมืองลอร์เรน (Lorraine) เป็นแหล่งสำคัญของแร่เหล็ก ดังนั้นอุตสาหกรรมด้านนี้จึงมีความสำคัญมากแม้ว่าแร่เหล็กของฝรั่งเศสจะมีคุณภาพเพียง 30 % ของน้ำหนัก สินแร่มีเปอร์เซ็นต์ต่ำกว่าแร่เหล็กของสวีเดน ซึ่งมีเปอร์เช็นต์สูง 60 เปอร์เช็นต์ แต่ประโยชน์ที่ได้รับคุ้มค่ากับการลงทุน และถือว่าประเทศฝรั่งเศสมีปริมาณแร่เหล็กมากกว่าประเทศอื่น ๆ ในทวีปยุโรป




เศรษฐกิจของฝรั่งเศสเป็นเศรษฐกิจแบบประเทศด้อยพัฒนา แรงงานมีอยู่น้อยและเป็นแรงงานที่ไม่ชำนาญงาน จำนวนประชากรก็มีอยุ่น้อยไม่พอเพียงต่อการเป็นผู้บริโภคของอุตสาหกรรมที่จะสร้างขึ้นมาเพื่อผลิตสินค้าสำหรับใช้บริดภคภายในฝรั่งเศส การสร้างถนนระบบโทรคมนาคม และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นต่อการพัฒนาเศรษฐกิจเกือบจะเรียกได้ว่าไม่มีเลย

พืชที่ปลูกได้แก่ มันสำปะหลัง ข้าวเจ้า ข้าวโพด กล้วย สับปะรด และอ้อย อ้อยนั้นส่วนใหญ่นำมาใช้ผลิตเหล้ารัม เพื่อส่งออก ผลผลิตของเกษตรกรมีไม่เพียงพอต่อการบริโภคภายในฝรั่งเศส เกษตรกรกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดได้แก่ ชาวอินเดียน และชาวศรีโอเล ซึ่งทำไร่นาแบบเลื่อนลอยอยู่ในบริเวณลึกเข้าไป เกษตรกลุ่มนี้จะเผาป่าแล้วย้ายถิ่นที่เพาะปลูกจากแห่งหนึ่งไปยังอีกแห่งหนึ่งเรื่อยไปพืชที่พวกเขาปลูกก็มีสำปะหลังและพืชชนิดอื่น ๆ อีก 2-3 ชนิดสำหรับใช้เป็นอาหารและปลูกสำหรับบริโภคเองเท่านั้น พวกเขาจะล่าสัตว์และจับปลาเพื่อใช้เป็นอาหารประกอบกับพืชที่คนได้ปลูกไว้

สิ่งที่นับว่าเป็นความผิดพลาดอย่างมาก คือ ผลผลิตทางการเกษตรมีไม่พอบริโภคทำให้ต้องสั่งซื้ออาหารจากต่างประเทศเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นเช่นนี้ก็เนื่องมาจากฝรั่งเศสได้ใช้ดินแดนฝรั่งเศสเป็นที่กันขังนักโทษ แล้วให้นักโทษทำไร่นาเสมือนหนึ่งทาส การทำไร่นาจึงได้รับการดูถูกว่าเป็นอาชีพที่ต่ำ ยกเว้นชาวอินเดียนที่ทำการเพาะปลูกเพื่อใช้บริโภคเองแล้วมีคนจำนวนน้อยที่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม