วันพฤหัสบดีที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2554

อาหารเจกับมังสวิรัติต่างกันอย่างไร?


อาหารเจกับมังสวิรัติต่างกันอย่างไร?

ทั้งอาหารเจและอาหารมังสวิรัติ เป็นอาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์เหมือนกัน แต่มีความแตกต่างกันในรายละเอียด ดังนี้

อาหารเจ นอกจากไม่มีเนื้อสัตว์แล้ว ยังมีข้อห้ามว่าต้องไม่มี หอม กระเทียม ต้นกุยช่าย ผักชี และเครื่องเทศที่เผ็ดร้อน เพราะถือว่าอาหารดังกล่าวทำให้เกิดกำหนัด

วัตถุดิบที่เป็นหลักในการประกอบอาหารเจ คือ แป้ง เต้าหู้ ซีอิ๊ว ถั่วเหลือง ถั่วต่าง ๆ และผักนานาชนิด ยกเว้นผักที่กล่าวมาแล้ว


นอกจากนี้ผู้กินเจที่เคร่งครัด น้ำมันพืชที่ใช้ต้องบริสุทธิ์ 100 % จะไม่ใช้น้ำมันพืชสูตรผสม เช่น น้ำมันรำข้าวปนน้ำมันถั่วเหลือง ภาชนะที่ใส่อาหารเจก็ต้องเตรียมไว้เป็นพิเศษ ไม่ใช้ปะปนกับภาชนะที่ใส่เนื้อสัตว์

ปัจจุบันอาหารเจได้รับการพัฒนารูปแบบขึ้นมาก มีการทำ “หมี่กึน” ที่ทำมาจากแป้งสาลีดัดแปลง ให้มีรูปร่างหน้าตาเหมือนเนื้อสัตว์ นำมาปรุงอาหาร สำหรับผู้ที่ยังไม่สามารถตัดขาดจากเนื้อสัตว์ได้เด็ดขาด

อาหารเจจะกินกันในระหว่างเทศกาลกินเจ คือ ช่วงระหว่างวันขึ้น 1-9 ค่ำ เดือน 9 (ตามปฏิทินจีนราว เดือนตุลาคม) ระยะเวลาประมาณ ๑๐ วัน หรือกินในระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง

ผู้ที่กินเจเชื่อว่าการกินเจเป็นการได้บุญ จะส่งผลให้ชีวิตประสบความสุขความเจริญ ทั้งเป็นการต่อชีวิตให้ยืนยาวต่อไป

ส่วนอาหารมังสวิรัติ โดยรูปศัพท์หมายถึงการงดเว้นเนื้อสัตว์ (มังสะ=เนื้อสัตว์ วิรัติ=การงดเว้น) ภาษาอังกฤษเรียกว่า Vegetarian

ผู้บริโภคอาหารมังสวิรัติมี 2 กลุ่ม
กลุ่มแรก ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ แต่ยังคงบริโภคไข่และนม
กลุ่มที่สอง ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ รวมทั้งไม่บริโภคไข่และนมด้วย

อาหารมังสวิรัติงดเนื้อสัตว์เหมือนกับอาหารเจ รวมทั้งเครื่องปรุงรสที่ทำมาจากสัตว์ เช่น กะปิ น้ำปลา แต่ต่างกับอาหารเจตรงที่ไม่ห้ามบริโภคกระเทียม หัวหอม ต้นกุยช่าย หรือผักที่มีกลิ่นแรงตลอดจนเครื่องเทศที่เผ็ดร้อน

อาหารมังสวิรัติสามารถบริโภคได้ทั้งปี ไม่มีเทศกาลเหมือนอาหารเจ ผู้ที่กินอาหารมังสวิรัติเชื่อว่าจะทำให้ร่างกายมีสุขภาพแข็งแรง เพราะได้งดเนื้อสัตว์ซึ่งมีไขมันและสารอื่น ๆ มากมาย นอกจากนั้น ยังมีประโยชน์ต่อจิตใจเพราะไม่จะเบียดเบียนชีวิตสัตว์ทั้งหลาย

วันพุธที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2554

10 วิธีป้องกันโรคร้าย จากเทคโนโลยี


ปฏิเสธไม่ได้ว่า ยุคนี้เป็นยุคแห่งเทคโนโลยีจริง ๆ และสำหรับคอเทคโนโลยีทั้งหลาย คุณอาจกำลังเสี่ยงโรคร้ายอีกหลายโรค เพื่อเป็นการป้องกัน เราจึงมี 10 วิธีป้องกันโรคร้ายมาบอกกล่าวกัน

1.แว่นตา หรือ คอนแทคเลนส์ทั่วไป อาจจะไม่เพียงพอต่อการป้องกันแสง สำหรับคนที่ทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นระยะเวลานาน จึงควรเลือกแว่นตา หรือคอนแทคเลนส์ที่เคลือบป้องกันแสงจากหน้าจอโดยเฉพาะดีกว่า

2.หลายคนรู้สึกสบายกว่าเวลาที่ดวงตาของเรามองลงต่ำ ถ้าจะให้ดีหน้าจอควรอยู่ต่ำกว่าระดับสายตา 15-20 องศา หรือประมาณ 4-5 นิ้ว และเว้นระยะห่างจากดวงตาของเรา 20-28 นิ้ว

3.เพื่อป้องกันไม่ให้ดวงตาเมื่อยล้า อย่าลืมพักสายตาเมื่อใช้คอมพิวเตอร์เป็นระยะเวลานาน ทุก ๆ สองชั่วโมง ควรพักสายตา 15 นาที และทุก ๆ ชั่วโมงให้ลองมองออกไปไกล ๆ 20 วินาที

4.ลดแรงลงหน่อย หลาย ๆ คนใช้แรงมากเกินกว่าที่จำเป็นในงานที่ต้องใช้มือ ถ้าคุณต้องนั่งพิมพ์เป็นระยะเวลานาน พิมพ์เบา ๆ ก็พอ

5.พักมือและข้อมือโดยการยืดและงอ อย่าสะบัด หรือหากเป็นไปได้ก็ควรหันไปทำงานอย่างอื่น ๆ แทนสักพัก

6.สำหรับคนอยู่ในออฟฟิศที่เปิดแอร์เย็น ความอบอุ่นของมือนั้นก็สำคัญมากเช่นกัน ถ้ามือของคุณอยู่ในที่เย็น ก็ยิ่งเสี่ยงต่ออาการปวดหรือตึงมือ ถ้าปรับอุณหภูมิไม่ได้ ก็ควรหาถุงมือแบบที่ไม่มีนิ้วใส่ เพื่อให้อุ้งมือและข้อมืออุ่นตลอดเวลา

7.ผศ.นพ.วิษณุ กัมทรทรัพย์ ภาควิชาเวชศาสตร์ฟื้นฟู คณะแพทยศาสตร์ ศิริราช-พยาบาล แนะนำภายในการประชุมวิชาการเรื่อง Office syndrome ว่าให้เราจัดโต๊ะทำงานให้เป็นระเบียบ ด้านขวาของโต๊ะปล่อยโล่ง ไม่มีสิ่งของมากีดขวางและควรเลือกโต๊ะทำงานที่มีระดับพอดีกับข้อศอก เพื่อให้สามารถกดคีย์บอร์ดได้ถนัด ประกอบกับตัวแป้นคีย์บอร์ดควรมีที่รองรับข้อมูล ไม่ให้เกิดการกระดกข้อมือซ้ำ ๆ ด้วย ส่วนเก้าอี้ควรเป็นแบบปรับขึ้นลงได้ และควรมีพนักพิงที่สามารถรองรับศีรษะได้

8.เปิด MP3 ดัง ๆ ไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน ถ้าคุณไม่ได้ยินเสียงรอบตัวยามที่เสียบหูฟังแล้วล่ะก็ คุณควรจะลดระดับเสียงลง หากเพื่อนข้าง ๆ ยังได้ยินเสียงจากหูฟังของเรา นั่นแปลว่า ยังดังเกินไปอยู่นะคะ

9.ป้องกันอาการปวดหลังด้วยการปรับเก้าอี้ให้มีความสูงพอเหมาะ และใกล้กับคอมพิวเตอร์มากพอที่เราจะไม่ต้องก้มตัว ในระหว่างนั่งให้วางเท้าอยู่กับพื้น เพื่อช่วยลดแรงกดด้านหลัง

10. บางครั้งอาการปวดที่หลังส่วนบนหรือแม้แต่อาการปวดศีรษะ อาจเป็นเพราะว่า หลังของเราเหนื่อยล้ากับการต้องรับน้ำหนักแขน ตรงนี้ล่ะที่เท้าแขนสามารถช่วยได้ มันจะรับน้ำหนักของแขนเอาไว้ ทำให้คอและหัวไหล่ได้ผ่อนคลาย

สะอึก...อันตรายกว่าที่คิด


สะอึก : อาการธรรมดา…ที่ไม่ธรรมดา?

เรามาดูกันก่อนดีกว่าว่าอาการสะอึกแบบธรรมดา และไม่ธรรมดา ต่างกันอย่างไร?

การสะอึก (Hiccup) นั้นเกิดจากการที่กะบังลมทำงานไม่เป็นปกติ โดยปกตินั้นกะบังลมซึ่งเป็นอวัยวะที่กั้นอยู่ระหว่างช่องท้องกับช่องอก จะทำงานโดยยืดและหดในจังหวะสม่ำเสมอเพื่อช่วยในการหายใจ การสะอึกนั้นอาจเกิดจากมีอะไรไปรบกวนประสาทที่ควบคุมการทำงานของกะบังลม ลมในกระเพาะอาหารขยายตัวไปกระตุ้นปลายประสาทที่มาเลี้ยงกะบังลม หรืออวัยวะใกล้กะบังลมเป็นโรคบางอย่าง เช่น เยื่อหุ้มปอดอักเสบ

สาเหตุ เหล่านี้ทำให้กะบังลมหดตัวอย่างรุนแรงทันทีทันใด การบีบรัดตัวของกะบังลมทำให้แผ่นเหนือกล่องเสียงที่คอหอยซึ่งปกติคอยกั้นไม่ ให้อาหารเข้าไปในหลอดลมปิดลง เมื่อกะบังลมหดตัวอย่างรุนแรงก็จะดึงอากาศเข้าสู่ปอดผ่านคอหอย อากาศจึงกระทบกับแผ่นปิด แล้วทำให้สายเสียงสั่นสะเทือน จึงเกิดเป็นเสียงสะอึก

อย่างไรก็ตาม สาเหตุก็ไม่จำเป็นต้องเกิดจากการระคายเคืองที่กระเพาะอาหารเสมอไป บางครั้งก็อาจก่อตัวที่ “ศูนย์การสะอึก” ที่อยู่ในสมองที่บังคับควบคุมให้เกิดการเคลื่อนไหวผิดปกติของกะบังลม จนเกิดเป็นอาการสะอึก นอกจากนี้ยังอาจมีสาเหตุจากความผิดปกติในบริเวณคอและหน้าอก เช่น ก้อนเนื้องอก ต่อมน้ำเหลืองโต เป็นต้น หรือเกิดจากโรคในช่องท้อง เช่น เยื่อบุช่องท้องอักเสบ ไตวาย หรือภายหลังการผ่าตัดช่องท้อง หรือบางครั้งก็อาจเกิดจากสาเหตุทางด้านอารมณ์ เช่น ความรู้สึกช็อก ความเครียดเรื้อรัง เป็นต้น

• สะอึกธรรมดา

อาการสะอึกธรรมดาอาจเกิดขึ้นช่วงสั้นๆ และหายไปได้เอง ใช้เวลาไม่กี่วินาทีไปจนถึง 2-3 นาที ซึ่งพบได้บ่อยๆ คนส่วนใหญ่มักจะสะอึกหลังจากการรับประทานอาหารมากเกินไปหรือเร็วเกินไป หรือรับประทานอาหารที่ทำให้มีก๊าซมาก

บางคนอาจเกิดจากการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ หรือสูบบุหรี่มากเกินไป บางคนที่มีความตึงเครียดมากเกินไป ก็อาจเป็นสาเหตุของการสะอึกได้

• สะอึกไม่ธรรมดา

แต่หากการสะอึกเป็นอยู่นานเป็นชั่วโมงหรือเป็นวันๆ หรือสะอึกในขณะนอนหลับ อันนี้คือการสะอึกแบบไม่ธรรมดาแล้วนะคะ อาจจะต้องหาสาเหตุว่ามาจากโรคของอวัยวะต่างๆ ควบคู่ไปด้วย เช่น โรคเกี่ยวกับอวัยวะในช่องท้อง ในช่องปอด ในระบบสมองและประสาทส่วนกลาง เป็นต้น

และหากอาการสะอึกไม่หยุดนานกว่า 1 วัน มีอาการหายใจลำบาก เจ็บหน้าอก หรือรู้สึกวิงเวียนร่วมด้วย หรือสะอึกทุกครั้งหลังจากรับประทานยาที่แพทย์จัดให้ ต้องรีบไปพบแพทย์โดยด่วนแล้วนะคะ


แก้สะอึก กันดีกว่า!

การสะอึกอาจเกิดจากกินอาหารมื้อใหญ่มากเกินไป หรือการที่ต้องไปอยู่ในอากาศเปลี่ยนแปลงทันที เช่น กระทบเย็น กระทบหมอก แบบฉับพลันเช่นการไปต่างประเทศที่สภาพอากาศต่างกันมากๆ รวมไปถึงทั้งจากการตื่นเต้น หรือเครียดมากๆ เมื่อรู้แล้วก็ลด ละ เลิก พฤติกรรมเหล่านี้ซะ แต่หากยังไม่หาย เรามีวิธีรักษาบรรเทามาฝากกันค่ะ

สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วกลั้นหายใจไว้สักพัก
หายใจในถุงกระดาษ (ที่ครอบปากและจมูกไว้) เพื่อนำเอาก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไปกดที่ “ศูนย์การสะอึก” ในสมอง
กลืนน้ำแข็งบดละเอียด
เคี้ยวขนมปังแห้ง - บีบมะนาวให้ได้สัก 1 ช้อนชา แล้วจิบแก้สะอึก
ก้มตัวดื่มน้ำจากขอบแก้วด้านตรงข้ามหรือด้านที่ไกลจากริมฝีปาก
จิบน้ำจากแก้วเร็วๆ หลายๆ อึก ติดๆ กัน
ใช้นิ้วมืออุดหูประมาณ 20-30 วินาที
อุดหูไปด้วย แล้วดูดน้ำจากหลอดไปด้วย
แหงนหน้า กลั้นหายใจ นับ 1-10 จากนั้นหายใจออกทันที แล้วดื่มน้ำหนึ่งแก้ว
ใช้นิ้วคีบลิ้นแล้วดึงออกมาเบาๆ หรือแลบลิ้นออกมายาวๆ
กดจุด โดยออกแรงบีบเนินใต้นิ้วโป้งของมืออีกข้างหนึ่ง หรือกดบริเวณร่องเหนือริมฝีปาก
ถ้าเป็นเด็กอ่อนควรอุ้มพาดบ่าใช้มือลูบหลังเบา ๆ ให้เรอ
ตำราโบราณที่บอกว่าทำให้ตกใจแล้วจะแก้สะอึกได้ ฟังดูเหมือนเรื่องตลกกะโหลกกะลา แต่เชื่อไหมคะว่าอาจทำให้อาการสะอึกหายได้จริง!

หลายอย่างหลายแนวเหลือเกินกับการรักษา บรรเทา อาการสะอึกที่น่ารำคาญนี้ การสะอึกอาจจะเป็นอาการธรรมดาๆ แต่ถ้าเราปล่อยไว้ไม่ใส่ใจ อาจจะเป็นสัญญาณอันตรายที่ส่งผ่านร่างกายออกมาก็เป็นได้ โรคร้ายอยู่ใกล้ตัวมากกว่าที่คิด กันไว้ดีกว่าแก้

5 วิธีกระตุ้นสมองเรียนรู้ฉับไว


บอกลาความคิดเชื่องช้า ด้วย 5 วิธีง่าย ๆ ช่วยเติมความปราดเปรื่องให้สมอง เพิ่มพลังเรียนรู้เร็ว

เริ่มวันใหม่เติมพลังการเรียนรู้ด้วย “โปรตีน” จากเมนูข้าวต้ม โจ๊ก แซนด์วิช สลัด หรือซีเรียล พร้อมนม 1 แก้ว จะช่วยคงสภาวะระดับน้ำตาลในเลือดให้สูงเป็นเวลานาน ตรงกันข้ามหากมีพฤติกรรมงดอาหารเช้า จะสังเกตว่า ช่วงสายมักเริ่มหิว ไม่มีสมาธิ ขาดความฉับไวในการคิด และแก้ปัญหา

“จิบน้ำอุณหภูมิห้อง” เพราะสมองประกอบด้วยน้ำถึง 85% และระหว่างวันร่างกายจะสูญเสียไปจากเหงื่อ และปัสสาวะ ดังนั้น จึงต้องเติมน้ำให้ร่างกายเป็นระยะ โดยควรเป็นน้ำธรรมดา ไม่เย็นจัด ซึ่งร่างกายจะดูดซึมไปใช้ในระบบหมุนเวียนเลือดได้ทันที มีผลต่อเซลล์สมองส่งข้อมูลได้เร็วขึ้น

“สลับมือบริหารสมอง” ด้วยกิจกรรมง่าย ๆ เช่น แปรงฟัน หวีผม หรือกวาดบ้านด้วยมือที่ไม่ถนัด จะช่วยกระตุ้นสมองส่วนที่ไม่ค่อยได้ใช้งานให้แอคทีฟขึ้น

“อารมณ์ดีสมองแล่น” อารมณ์ขันส่งผลต่อกระบวนการคิดเชิงบวก และแก้ปัญหาในเชิงสร้างสรรค์ ในทางกลับกันถ้าอยู่ในอารมณ์เครียดเกินไป จะทำให้การประมวลข้อมูลของสมองช้า ทำความคิดแคบ

“เลี่ยงอดนอนทำสมองเบลอ” ควรนอนหลับให้เพียงพอวันละ 6-8 ชั่วโมง โดยไม่ควรนอนคลุมโปง เพราะจะเป็นการเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ และลดออกซิเจน ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของสมอง

10 วิธีหยุดนิสัยชอบแก้ตัว



1. สังเกตพฤติกรรมตัวเอง : ลองสังเกตดูว่า คุณปัดความผิดของคุณเองและโยนให้คนอื่นบ่อยแค่ไหน ยิ่งถ้าคุณอยู่ในฐานะหัวหน้าหรือหัวเรือใหญ่คงไม่มีใครอยากทำงานกับเจ้านายที่ชอบโยนความผิดให้กับลูกน้องหรือเพื่อนร่วมงานแน่ๆ

2. กล้ารับความจริง : เหมือนกับการแก้ไขนิสัยอันไม่พึงประสงค์ทั่วไป ไม้ตายที่สองที่ควรงัดมาใช้ ก็คือการเปิดใจยอมรับความจริงว่าคุณเป็น ‘ผู้ใหญ่มีปัญหา" อย่ามัวแต่วางเฉย ผัดวันประกันพรุ่ง หรือเอาแต่ปล่อยให้เวลาคลี่คลายปัญหาทุกอย่างเอง

3. ยอมรับคำวิจารณ์เก่าๆ : นอกจากยอมรับความจริงแล้ว ใช่ครับ คุณต้องยอมรับคำวิพากษ์วิจารณ์ที่ผ่านมาด้วย อย่างไรเสียก็อย่าปล่อยให้มันเข้ามาทำลาย Self-esteem หรือทำให้คุณสูญเสียความมั่นใจมากเกินไปจนกลายเป็นคนที่มีจิตใจไม่มั่นคง ถูกครอบงำได้ง่าย และสุดท้ายก็ไม่เป็นตัวของตัวเอง

4. ทลายกำแพงให้ได้ : ถ้าในยิมที่เราเล่นอยู่เดิมมีคนเล่นเยอะ แพง แถมที่จอดรถยังสุดแสนจะห่วย จงหาที่ใหม่และหาแรงจูงใจในการเปลี่ยนนิสัยให้ได้ เช่นเดียวกันกับการปรับตัวสู่พฤติกรรมที่เป็นเรื่องท้าทาย จงกล้าที่จะทลายกำแพงเดิมๆ ให้ได้ แล้วหาทางออกด้วยวิธีการใหม่ๆที่ห่างไกลจากวิธีเดิมในทันที

5. อย่ากลัวเสียหน้า : หยุดพารานอยด์ อย่ากลัว และกล้าที่จะเสียหน้าเมื่อต้องทำในสิ่งที่ตรงข้ามกับที่คุณเคยทำและเคยเป็น

6. สร้างมาตรฐานของคุณขึ้นมา : เมื่อเริ่มตระหนักได้ว่าการแก้ตัวมีโทษหนักเท่ากับการกล่าวอ้างหรือการพูดโกหก คุณอาจจะสร้างมาตรฐานของตัวเองขึ้นมาว่า ในช่วงแรกคุณสามารถหลุดออกนอกกรอบหรือนอกแถวได้ไม่เกิน 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ก่อนจะเข้าสู่ขั้น Advance ที่ไม่มีการแต่งเติมบทสนทนาและทำให้เพื่อนร่วมงานรู้สึกอึดอัดใจกับคุณน้อยลง

7. ใช้สูตรการเล่นใหม่ ‘Speak, then shut up" : เรียนรู้ที่จะกล่าวคำขอโทษโดยปราศจากข้อแก้ตัวพ่วงท้าย สิ่งที่คุณควรจะพูดออกมาคือคำขอโทษแค่เพียงอย่างเดียว แต่ถ้าอยู่ในสถานการณ์ที่คุณไม่ผิด คุณก็สามารถที่จะถกเถียงด้วยเหตุผลโดยไม่จำเป็นต้องต่อความยาวสาวความยืดใดๆ

8. บำบัดกลุ่มด้วยการหากระจกสะท้อน : เราไม่ได้บังคับให้คุณเข้าคอร์สบำบัดอาการชอบแก้ตัวที่ไหนเพราะถ้าจะพูดกันตามนิสัยของคนไทย ไม่มีใครอยากจะยอมให้คนแปลกหน้าเข้าหาจุดบกพร่องของตัวเองในวงสนทนา แต่นี่เป็นวิธีการที่เรียกว่า ‘ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่" โดยสิ่งที่คุณจะสามารถทำได้คือการสังเกตพฤติกรรมของคนที่มีนิสัยคล้ายๆ กัน แล้วคุณจะพบว่าคุณคนเดิมในอดีตนั้นช่างไม่น่าคบเอาเสียเลย

9. ขอให้คนรอบข้างช่วย : เคยใช้วิธีนี้ไหมครับ ขอให้เพื่อนนัดเวลาคุณก่อนเพื่อนคนอื่นๆ สักประมาณครึ่งชั่วโมง ในกรณีที่คุณมักจะมาสายและมาเป็นคนสุดท้ายเมื่อทุกคนรวมตัว เรื่องนิสัยแก้ตัวก็เหมือนกันคุณคงต้องขอให้เพื่อนหรือเพื่อนร่วมงานที่น่าไว้ใจช่วยกันจับตามองว่าคุณมีวิธีการเลือกที่จะใช้เหตุผลในการแก้ตัวอย่างไร เป็นเหตุเป็นผลไหม หรือโยนความผิดให้ใครไปบ้างในแต่ละวัน

10. เซ็นสัญญากับตัวเอง : พิมพ์หรือเขียนเป้าหมายคุณลงในกระดาษ กำหนดเดดไลน์ พร้อมทั้งลงวันที่ และเซ็นชื่อว่าคุณจะต้องทำให้ได้ โดยที่อาจจะมีเพื่อนสักคนมามาช่วยเซ็นรับรอง

ภาษาที่เรียนรู้ยากที่สุดในโลก

อันดับที่ 1 Basque
ภาษา บาสก์ เป็นภาษาที่พูดโดยชาวบาสก์ซึ่งอาศัยอยู่แถบเทือกเขาพีเรนีสในตอนกลาง ของภาคเหนือของประเทศสเปน รวมทั้งในบริเวณภาคตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศฝรั่งเศสที่มีอาณาเขตติดต่อกัน หรือลึกลงไปกว่านั้นคือ ชาวบาสก์ได้ครอบครองแคว้นปกครองตนเองที่มีชื่อว่าแคว้นปกครองตนเองบาสก์ (Basque Country autonomous community) ซึ่งมีวัฒนธรรมและอิสระในการปกครองตนเองทางการเมือง นอกจากนี้ก็ยังมีชาวบาสก์ที่อยู่ในเขตนอร์เทิร์นบาสก์ในฝรั่งเศสและแคว้น ปกครองตนเองนาวาร์ในสเปนอีกด้วย ชื่อเรียกภาษาบาสก์อย่างเป็นทางการ (ในภาษาตนเอง) คือ เออุสการา (euskara) ส่วนในรูปภาษาถิ่นอื่น ๆ ได้แก่ เออุสเกรา (euskera) เอสกูอารา (eskuara) และ อุสการา (üskara) แม้ว่าในทางภูมิศาสตร์จะถูกล้อมรอบด้วยภาษาในตระกูลอินโด-ยูโรเปียน แต่ภาษาบาสก์กลับจัดเป็นภาษาโดดเดี่ยว (language isolate) ไม่ใช่ภาษาในตระกูลดังกล่าว

อันดับที่ 2 Hungarian
ภาษา ฮังการี เป็นภาษากลุ่มฟินโน-อูกริกที่พูดในประเทศฮังการีและในประเทศเพื่อน บ้านคือ โรมาเนีย สโลวาเกีย ยูเครน เซอร์เบีย มอนเตเนโกร โครเอเชีย ออสเตรีย และสโลวีเนีย (ทั้งหมดเป็นประเทศที่ฮังการีได้สูญเสียดินแดนให้หลังสงครามโลกครั้งที่ 1) มีคนพูดภาษาฮังการีประมาณ 14.5 ล้านคน มี 10 ล้านคนที่อาศัยอยู่ในฮังการี และมีชนพื้นเมืองฮังการี ประมาณ 1,434,377 คนที่อาศัยอยู่ในโรมาเนีย โดยมีประชากรชนกลุ่มน้อยมากที่สุดในพื้นที่ทรานซิลเวเนียของโรมาเนีย

อันดับที่ 3 Chinese
แน่ นอนว่าภาษาจีนเป็นอีกภาษาที่ยากที่สุดในโลก หากแต่กระนั้นมันมีความสำคัญต่อโลกเหมือนกันเพราะประชากรประมาณ 1/5 ของโลกพูดภาษาจีนแบบใดแบบหนึ่งเป็นภาษาแม่ ทำให้เป็นภาษาที่มีคนพูดเป็นภาษาแม่มากที่สุด (สำเนียงพูดที่ถือเป็นมาตรฐาน คือ สำเนียงปักกิ่ง ซึ่งอยู่ในกลุ่มภาษาแมนดาริน)และเป็นหนึ่งใน 6 ภาษาที่ใช้ในองค์การสหประชาชาติ (ร่วมกับ ภาษาอังกฤษ ภาษาอาหรับ ภาษาฝรั่งเศส ภาษารัสเซีย และภาษาสเปน) แน่นอนความยากของภาษาจีนนั้นก็คือออกเสียงยาก เขียนยากอีกทั้งมันมีหลายแบบ หลายสำเนียง เช่น จีนกลาง, จีนกวางตุ้ง แถมอักษรยังมีสองแบบคืออักษรจีนตัวเต็ม และ อักษรจีนตัวย่อ

อันดับที่ 4 Polish
ภาษาโปแลนด์ คือภาษาทางการของประเทศโปแลนด์ มีต้นกำเนิดมาจากพื้นที่ของโปแลนด์ ในปัจจุบันจากภาษาท้องถิ่นต่างๆ โดยเฉพาะที่พูดใน Greater Poland และ Lesser Poland ภาษาโปแลนด์เคยเป็นภาษากลาง ในพื้นที่ต่างๆ ของยุโรปกลางและยุโรปตะวันออก เนื่องจากอิทธิพลทางการเมือง วัฒนธรรม วิทยาศาสตร์ และการทหารของเครือจักรภพโปแลนด์-ลิทัวเนีย ในปัจจุบันภาษาโปแลนด์ไม่ได้ใช้กันกว้างขวางเช่นนี้ เนื่องจากอิทธิพลของภาษารัสเซีย อย่างไรก็ดี ยังมีคนพูดหรือเข้าใจภาษาโปแลนด์ในพื้นที่ชายแดนทางตะวันตกของยูเครน เบลารุส และลิทัวเนีย เป็นภาษาที่สองและคนอพยพจากประเทศโปแลนด์ที่อาศัยในพื้นที่ในประเทศต่างๆ เช่น ฝรั่งเศส ไอร์แลนด์ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อิสราเอล บราซิล แคนาดา สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา เป็นต้น ส่วนความยากนักคงเป็นที่ตัวอักษรที่ยากต่อความเข้าใจและการนำไปใช้ที่ยุ่ง ยากพอสมควร

อันดับที่ 5 Japanese
ภาษา ญี่ปุ่น เป็นภาษาทางการ ของประเทศญี่ปุ่น ปัจจุบันมีผู้ใช้ทั่วโลกราว 130 ล้านคน นอกเหนือจากประเทศญี่ปุ่นแล้ว รัฐอังกาอูร์ สาธารณรัฐปาเลา ได้กำหนดให้ภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาทางการภาษาหนึ่ง นอกจากนี้ภาษาญี่ปุ่นยังถูกใช้ในหมู่ชาวญี่ปุ่นที่ย้ายไปอยู่นอกประเทศ นักวิจัยญี่ปุ่น และนักธุรกิจต่าง ๆ คำภาษาญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลมาจากภาษาต่างประเทศเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะภาษาจีน ที่ได้นำมาเผยแพร่มาในประเทศญี่ปุ่นเมื่อกว่า 1,500 ปีที่แล้ว และตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา ก็ได้มีการยืมคำจากภาษาต่างประเทศที่ไม่ใช่ภาษาจีนมาใช้อีกเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะภาษากลุ่มอินโด-ยูโรเปียน เช่นคำที่มาจากภาษาดัตช์ สาเหตุที่ภาษานี้มีความยากจนเรียกได้ว่าถึงขั้นพิสดารอันเนื่องมาจากคน ญี่ปุ่นเป็นชาติที่มีพิธีรีตองมาก ดังนั้นคำภาษาญี่ปุ่นจึงอักษรถึง3แบบ แบ่งคำศัพท์สำหรับใช้กับเพื่อน คนในครอบครัว อาจารย์เป็นต้น บางตัวไม่สามารถอธิบายได้ต้องจำเอาเอง ถือว่าเป็นภาษาที่ละเอียดอ่อนและมีความซับซ้อน ยิ่งเป็นอักษรคันจิยิ่งไปใหญ่ ขนาดคนญี่ปุ่นด้วยกันเองก็แทบแย่เหมือนกัน

อันดับที่ 6 Russian
ภาษา รัสเซีย เป็นภาษากลุ่มสลาวิกที่ใช้เป็นภาษาพูดอย่างกว้างขวางที่สุด ภาษารัสเซียจัดอยู่ในกลุ่มอินโด-ยูโรเปียน ดังนั้นจึงมีความสัมพันธ์กับภาษาสันสกฤต ภาษากรีก และภาษาละติน รวมไปถึงภาษาในกลุ่มเจอร์เมนิก โรมานซ์ และเคลติก (หรือเซลติก) ยุคใหม่ ตัวอย่างของภาษาทั้งสามกลุ่มนี้ได้แก่ภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส และภาษาไอริชตามลำดับ ส่วนภาษาเขียนนั้นมีหลักฐานยืนยันปรากฏอยู่เริ่มจากคริสต์ศตวรรษที่ 10ในปัจจุบัน ภาษารัสเซียเป็นภาษาที่มีการใช้นอกประเทศรัสเซียด้วย มีเอกสารทางวิทยาศาสตร์จำนวนหนึ่งตีพิมพ์เป็นภาษารัสเซีย รวมทั้งความรู้ในระดับมหาวิทยาลัยจำนวนหนึ่ง ภาษารัสเซียเป็นภาษาที่มีความสำคัญทางการเมืองในยุคที่สหภาพโซเวียตเรือง อำนาจและยังเป็นภาษาราชการภาษาหนึ่งของสหประชาชาติ และเป็นหนึ่งในภาษาที่ยากต่อการทำความเข้าใจ สับสน วุ่นวาย ไม่ว่าจะเป็นเขียนหรือการอ่านออกเสียง

อันดับที่ 7 German
ภาษาเยอรมัน หรือด๊อยช์ เป็นภาษากลุ่มเจอร์เมนิกด้านตะวันตก และเป็นภาษาที่มีคนพูดเป็นภาษาแม่มากที่สุดในสหภาพยุโรป ส่วนใหญ่พูดในประเทศเยอรมนี ออสเตรีย ลิกเตนสไตน์ ส่วนมากของสวิตเซอร์แลนด์ ลักเซมเบิร์ก แคว้นปกครองตนเองเตรนตีโน-อัลโตอาดีเจในอิตาลี แคว้นทางตะวันออกของเบลเยียม บางส่วนของโรมาเนีย แคว้นอัลซาซและบางส่วนของแคว้นลอร์แรนใน ฝรั่งเศส นอกจากนี้ อาณานิคมเดิมของประเทศเหล่านี้ เช่น นามิเบีย มีประชากรที่พูดภาษาเยอรมันได้พอประมาณ และยังมีชนกลุ่มน้อยที่พูดภาษาเยอรมันในหลายประเทศทางยุโรปตะวันออก เช่น รัสเซีย ฮังการี และสโลวีเนีย รวมถึงอเมริกาเหนือ (โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา) รวมถึงบางประเทศในละตินอเมริกา เช่น อาร์เจนตินา และในบราซิล ภาษาเยอรมัน จะว่ายาก..มันก็ยาก เพราะมีการแบ่งเพศในคำนามสิ่งของที่มีอยู่ในโลกนี้ 3 เพศ เช่น เวลา หรือ นาฬิกา นั้นเป็นเพศหญิง เครื่องดื่มที่เป็นแอลกฮอลล์ทุกชนิด ยกเว้นเบียร์ ถือว่าเป็นเพศกลาง เป็นต้น(มันคิดได้ไงว่ะเนี้ย) นอกจากนี้ยังยากตรงไวยากรณ์ เพราะมีข้อยกเว้นมาก และยากที่จะพูดให้คล่องโดยถูกหลักไวยากรณ์ เพราะคำกริยาบางทีก็อยู่ข้างหลังประโยค นอกจากนี้คำกริยาและคุณศัพท์ยังต้องผันตามเพศของคำนามอีก

อันดับที่ 8 Korean
ภาษา เกาหลี เป็นภาษาที่ส่วนใหญ่พูดใน ประเทศเกาหลีใต้ และ ประเทศเกาหลีเหนือ ซึ่งใช้เป็นภาษาราชการ และมีคนชนเผ่าเกาหลีที่อาศัยอยู่ในสาธารณรัฐประชาชนจีนพูดโดยทั่วไป(ใน จังหวัดเหยียนเปียน มณฑลจื๋อหลิน ซึ่งมีพรมแดนติดกับเกาหลี) ทั่วโลกมีคนพูดภาษาเกาหลี 78 ล้านคน รวมถึงกลุ่มคนในอดีตสหภาพโซเวียต สหรัฐอเมริกา แคนาดา บราซิล ญี่ปุ่น และเมื่อเร็วๆ นี้ก็มีผู้พูดใน ฟิลิปปินส์ ด้วย การจัดตระกูลของภาษาเกาหลีไม่เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป แต่คนส่วนมากมักจะถือเป็นภาษาเอกเทศ นักภาษาศาสตร์บางคนได้จัดกลุ่มให้อยู่ใน ภาษาตระกูลอัลไตอิกด้วย ทั้งนี้เนื่องจากภาษาเกาหลีมีวจีวิภาคแบบภาษาคำติดต่อ ส่วนวากยสัมพันธ์หรือโครงสร้างประโยคนั้น เป็นแบบประธาน-กรรม-กริยา (SOV) แม้ว่าภาษาเกาหลีจะมีตัวอักษร กับสระเพียงไม่กี่ตัวที่ต้องจำ(อักษร 19 + สระ 21) หากแต่ว่าไวยกรณ์ของเกาหลียากมาก ต้องจำกฎสารพัด กว่าจะเข้าใจและสามารถเขียนและอ่านได้

อันดับที่ 9 English
ภาษา อังกฤษ เป็นภาษาตระกูลเจอร์เมนิกตะวันตก มีต้นตระกูลมาจากอังกฤษ เป็นภาษาที่มีคนพูดเป็นภาษาแรกมากที่สุดเป็นอันดับ 3 ภาษาอังกฤษถือเป็นภาษากลาง (lingua franca) เนื่อง จากอิทธิพลทางทหาร เศรษฐกิจ วิทยาศาสตร์ การเมือง และวัฒนธรรมของสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่นักศึกษาทุกคนจำเป็นต้องเรียนรู้ภาษาอังกฤษ เพราะว่าภาษาอังกฤษนั้นได้เข้ามามีบทบาทอย่างยิ่งต่อผู้คนในหลากหลายอาชีพ ซึ่งบางอาชีพต้องการผู้ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านภาษาอังกฤษมาช่วยประสานงาน ทำให้งานทุกอย่างนั้นง่ายราบรื่นและสำเร็จลงไปได้ด้วยดี สาเหตุที่ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ยากโดยรวมเนื่องจาก เป็นภาษาที่ใช้อักษรละตินเป็นอักษรหลักในการเขียน และการสะกดคำหลายคำจะไม่ตรงกับการอ่านออกเสียง ซึ่งทำให้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ยากภาษาหนึ่งในการเรียน

อันดับที่ 10 Swahili
ภาษา สวาฮีลี (หรือ คิสวาฮีลี) เป็นภาษากลุ่มแบนตูที่พูดอย่างกว้างขวางในแอฟริกาตะวันออก ไม่ว่าจะเป็น แทนซาเนีย เคนยา ยูกันดา รวันดา บุรุนดี คองโก-กินชาซา โซมาเลีย คอโมโรส (รวมมายอต) โมซัมบิก และมาลาวี ภาษาสวาฮีลีเป็นภาษาแม่ของ ชาวสวาฮีลี ซึ่งอาศัยอยู่แถบชายฝั่งของแอฟริกาตะวันออกระหว่างประเทศโซมาเลียตอนใต้ ประเทศโมแซมบิกตอนเหนือ มีคนพูดเป็นภาษาแม่ประมาณ 5 ล้านคนและคนพูดเป็นภาษาที่สองประมาณ 30-50 ล้านคน ภาษาสวาฮีลีได้กลายเป็นภาษาที่ใช้โดยทั่วไปในแอฟริกาตะวันออกและพื้นที่รอบ ๆ ว่ากันว่า การเรียนภาษาสวาฮิลีเป็นสิ่งท้าทายที่สุด

วันจันทร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2554

วิธีการที่จะมีสุขภาพดีๆง่ายๆ



1.คุณเป็นคนมองโลกในแง่ดีหรือเปล่า ลองสำรวจตัวเอง ว่าเป็นคนมองโลกในแง่ดีหรือเปล่า การที่จะมีสุขภาพดี สุขภาพจิตก็ต้องดีด้วย เป็นคนคิดมากหรือเปล่า หรือเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นคุณก็ไม่ต้องคิดมาก ปล่อยวางซะบ้าง โดนเจ้านายบ่น เจ้านายว่า ก็คิดซะว่า ผิดเป็นครูฝึกความอดทนของเรา ถ้าคนเราไม่เคยเจอความรำบากหรืออุปสรรค ก็ไม่สามารถเป็นคนที่จิตใจแข็งแกร่งได้ เปรียบให้ท่านผู้อ่านฟังกันง่ายๆก็คือ ดาบถ้าไม่ผ่านไฟก็จะไม่ใช่ดาบที่ดี ก็เหมือนคนเราถ้าไม่เคยเจออุปสรรคเลย เวลาเจออุปสรรคก็จะไม่มีความอดทน ไม่มีความมุมานะที่จะผ่านมันไปได้ บางคนเกิดเป็นลูกคนมีอันจะกิน ไม่เคยลำบากเลย แต่พอตกอับ ก็ทำอะไรไม่เป็น ต้องไปปล้น ไปจี้เขากิน หรือไม่ก็ขายตัว เพื่อแลกเงินประทังชีวิต ท่านผู้อ่านว่าจริงไหม

2.ลองหาเวลาว่างในการออกกำลังกาย รู้ไหมว่าการออกกำลังกายสำคัญยังไง การออกกำลังกายเป็นการเผาผลาญพลังงานส่วนเกินในร่างกาย ทำให้ห่างจากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ทั้งโรคเบาหวาน โรคอ้วน โรคเครียด โรคซึมเศร้า เป็นต้น เมื่อคุณผู้อ่าน ไปออกกำลังกายคุณอาจจะเจอสังคมใหม่ๆ สังคมที่รักสุขภาพเหมือนๆกัน มันก็อาจจะทำให้ท่านสุขภาพจิตรดีขึ้นด้วย

3.คุณระมัดระวังการรับประทานหรือเปล่า การรับประทานก็มีส่วนสำคัญ คุณรับประทานมากเกินไปกว่าที่ร่างกายจะรองรับหรือเปล่า หรือรับประทานสิ่งที่มีประโยชน์ไหม ลองคิดๆดูว่าวันนี้คุณทานอะไรไปบ้าง มีประโยชน์ต่อร่างกายไหม สิ่งที่คุณควรทานก็คือ ข้าว ผัก ผลไม้ ให้ครบ5หมู่ และน้ำเปล่า งดดื่มน้ำอัดลม กาแฟ และขนมขบเคี้ยวต่างๆเพราะจะเป็นสาเหตุให้เป็นโรคอ้วนได้

4.คุณดื่มเหล้าสูบบุหรี่หรือเปล่า สิ่งพวกนี้ไม่มีประโยชน์สำหรับร่างกายของคุณเลย ทั้งยังทำให้คุณต้องไปเสียเงินเสียทองเพื่อไปซื้อสิ่งพวกนี้มาทำร้ายสุขภาพของตัวคุณเองอีกด้วย

5.นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ใช้เวลาในการพักผ่อนคือการนอน ช่วงเวลาของการนอนที่ดีที่สุดคือกลางคืนเพราะไม่ร้อน ทำให้นอนหลับสนิท นอนอย่างน้อยวันละ6-8ชั่วโมง

ต้นไม้ที่อายุยืนที่สุดในโลก


ต้นไม้ที่อายุยืนที่สุดในโลก (oldest tree in the world) ก็คือ พรอมิธีเอิส ( Prometheus )ชื่อนี้เป็นชื่อที่ใช้เรียกแทนต้นไม้ต้นนี้ไม่ใช่ชื่อพันธ์ พรอมิธีเอิส ( Prometheus ) เป็นต้นสนชนิดหนึ่งที่เรียกว่า Great Basin Bristlecone Pine (Pinus longaeva) พรอมิธีเอิส มีอายุประมาณ 4844 ปี พบที่ Wheeler Peak ที่ทางตะวันตกของรัฐเนวาด้า ( eastern Nevada ) ประเทศสหรัฐอเมริกา (USA.) แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า พรอมิธีเอิส ได้ถูกโคนไปในปี พ.ศใ 1964 โดยนักศึกษาที่ชื่อว่า Donald R. Currey ของมหาวิทยาลัย University of North Carolina ที่กำลังทำการศึกษาเกี่ยวกับสภาพอากาศของยุคน้ำแข็ง จากวงรอบของต้นไม้ และเจ้าหน้าที่ป่าไม้ เพื่อทำวิทยานิพนธ์ และไม่มีใครรู้มาก่อนด้วยว่า พรอมิธีเอิส คือต้นไม้ที่มีอายุมากที่สุดในโลก

กันสมองเสื่อมด้วยคณิตศาสตร์



วิชาคณิตศาสตร์ เป็นวิชาน่าเบื่อ และยากสำหรับหลายๆ คน วิชาเลขนี่เป็นยาไม่ถูกโรคจริงๆ นั่งเรียนทีไรเป็นตื่นตะลึง เพราะมีอาจารย์ท่านหนึ่งสมัยพี่อยู่มัธยมต้น จะต้องนำเข้าสู่บทเรียนด้วยการให้ตอบคำถามคิดเลขเร็ว แบบไม่ให้ใครรู้ตัวล่วงหน้า เข้ามาถึงบอกทำความเคารพเรียบร้อย ก็จะเริ่มเลย!! เลขที่สาม 3x8 เลขที่สิบแปด 9+28 เลขที่สามสิบหก 9x7 เลขที่สาม 43-8 ไล่ถามแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนเกือบสิบห้านาทีของทุกคาบ นักเรียนผุดลุกผุดนั่งตอบกันเหงื่อตก คนตอบได้ก็โล่งไปได้รอบหนึ่ง แต่ก็ไม่รู้จะโดนอีกหรือเปล่า ใครตอบไม่ได้หรือคิดไม่ทันใจจนอาจารย์ให้นั่ง จะรู้สึกหน้ามาก

กลวิธีการป้องกันสมองเสื่อมด้วยการคิดเลขแบบง่ายๆ
1. ตั่วรถประจำทาง
ขึ้นรถประจำทางมันก็ต้องได้ตั๋ว ในตั๋วจะมีตัวเลขแถวยาวๆ เราก็แค่นำตัวเลขพวกนั้นมาคำนวณกัน เริ่มต้นง่ายๆ คือ นำมาบวกกันทุกตัวเรียงไป หรือใครมีกลวิธีบวกทุกตัวให้ได้เร็วที่สุดก็ไม่ว่ากัน ถ้าเก่งแล้วจะขยับขยายเป็นลบบ้างบวกบ้าง คูณกันทุกตัวบ้างก็เยี่ยมเลย แต่ให้ทำเป็นนิสัยขึ้นรถปั๊บ จ่ายสตางค์ รับตั๋ว ยืนให้มั่น (หรือใครได้นั่งก็โชคดี) แล้วคิดเลขในตั๋วเลย!!!
และพอคิดเสร็จแล้วอย่าทิ้งตั๋วลงพื้นให้เป็นขยะนะ เก็บลงกระเป๋าแล้วนำไปทิ้งถังขยะจริงๆ ดีกว่า ตั๋วรถประจำทางใบเล็กแม้จะเป็นขยะชิ้นเล็กมากๆ แต่ถ้าทุกคนทิ้งคนละใบ หลายคนก็กลายเป็นขยะกองใหญ่ได้ อย่าทำเลย ให้มันเป็นประโยชน์กับสมองเราก่อน แล้วทิ้งให้เป็นที่เป็นทางดีกว่า

2. คิดราคาเวลาซื้อของ
เมื่อเราไปซื้อของ ถ้าซื้อชิ้นเดียว ก็ให้เราคิดจำนวนเงินทอนที่จะได้รับ แต่ถ้าซื้อหลายชิ้นก็ต้องบวกราคาของก่อน แล้วถ้ายิ่งไปซื้อของในห้างสรรพสินค้า ที่มีของให้เลือกมากมาย ก็ยังสามารถเลือกสินค้าและเปรียบเทียบค่าปริมาณหรือปริมาตรของได้ด้วย แต่หลักๆ แล้ว ก็ให้คิดราคาบวกกันไว้ในใจ ก่อนไปจ่ายเงินค่าสินค้า นอกจากการคิดเลขแล้ว ยังได้เรื่องความจำด้วยนะ เพราะกว่าเราจะซื้อของเสร็จ เราต้องจำราคาบวกชิ้นก่อนๆไว้ ใครเผลอเดินเพลิน อาจลืมที่คิดไว้แล้วก็ได้ ลึกซึ้งเนอะ แล้วพอจะจ่ายเงิน เราก็ดูว่าเรามีความจำและคิดเลขเก่งขนาดไหน ได้ราคาเดียวกับที่เครื่องคิดหรือเปล่า นอกจากคิดราคาของจะช่วยกระตุ้นสมองพัฒนา ยังได้ระวังกันการโกงราคา หรือราคาไม่ตรงตามป้ายที่ติดไว้ด้วยนะ

3. นับขั้นบันได
วิธีธรรมดาที่ดูไม่น่าช่วยพัฒนาสมองอะไรได้ ก็ใครจะไปนับขั้นบันไดให้เสียเวลาล่ะ แต่นี่แหละวิธีฝึกสมองชั้นดี ยิ่งบ้านใครมีหลายชั้น หรือมีจำนวนขั้นบันไดต่างกัน ยิ่งสนุกเลย ลองคิดดูสิ มีสักกี่คนที่จะรู้ว่าบ้านตัวเองมีบันไดทั้งหมดกี่ขั้น แต่วิธีนี้จะนับแต่บ้านตัวเองก็กระไร อย่างไรจำนวนก็ไม่เปลี่ยนไป (หรือบ้านใครจำนวนขั้นบันไดเปลี่ยนได้ บรื๋ออออ) แต่ให้ลองนำไปใช้กับการเดินทางในแต่ละวันว่าเราได้เดินขึ้นบันไดกี่ขั้นบ้าง ก็จะได้ฝึกสมองไปในตัว เช่น นอกจากบันไดธรรมดา บันไดเลื่อนก็นับได้นะ เราก็เดินก้าวขึ้นหรือลงบันได้เลื่อนสิ อย่าปล่อยให้มันเลื่อนพาเราไปเฉยๆ แถมเร็วขึ้นด้วยนะ แต่นับขั้นบันไดเลื่อนยาก ให้เปลี่ยนเป็นนับก้าวที่เราก้าวแทน เราก้าวบนบันได้เลื่อนไปกี่ก้าว ก็นำมานับแล้วรวมกับบันไดไม่เลื่อนที่เราขึ้นลงในวันเดียวกันก็ได้ แต่สิ่งที่สำคัญ หากเราจะใช้การนับขั้นบันไดเพื่อฝึกสมอง เราต้องฝึกสติรับรู้รอบข้างไปพร้อมๆ กันด้วย ถ้ามัวแต่นับขั้นบันไดอย่างเดียว ไม่ดูทาง ไม่ดูรอบข้าง ไม่ดูว่ามีอะไรกีดขวางข้างหน้าหรือเปล่า อาจเกิดอุบัติเหตุหรือโจรฉกชิงได้นะ

4. ท่องสูตรคูณกลับหลัง
วิธีที่ครูคณิตศาสตร์คนเดียวกันบังคับพี่เกียรติ และเพื่อนให้ท่องให้ได้เพื่อสอบเก็บคะแนน กลวิธีนี้ช่วยสมองมากๆ เลย ทั้งฝึกเชื่อมโยงข้อมูลในสมอง ฝึกการคิดแบบยืดหยุ่น และที่สำคัญเท่และสนุกอย่างไม่น่าเชื่อ ต้องรีบลองเลยนะ สนุกอย่างคาดไม่ถึงทีเดียวเชียว

5. ตั้งโจทย์เล่นกับเพื่อน
กลวิธีนี้วิธีการไม่ยากเลย แบบเดียวกับที่คุณครูคณิตศาสตร์ของพี่ใช้ แต่เราไม่ต้องรอให้ครูถาม นำมาถาม ตอบกันเองเสียเลย แต่เพิ่มกฎสักนิด ให้เพื่อนคิดโจทย์ไว้สัก 10 ข้อก่อน แล้วก้นำมาถามเรา โดยให้จับเวลาว่า 10 ข้อของเราใช้เวลากี่นาที ใช้การจับเวลาแข่งขันกันก็ได้ แต่เรื่องตั้งโจทย์เนี่ย ระวังจะตั้งกันแบบไม่ยุติธรรมนะ คนหนึ่งตั้งโจทย์เป็นเลขบวกลบสองหลัก แต่อีกคนกลับตั้งเลขคูณสองหลัก แบบนี้เวลาที่ใช้คำนวณต้องต่างกันแน่ๆ เนอะ

อยากเรียนดีต้องทำ

1. ตั้งใจเรียนในห้องเรียน หลับบ้างในบางครั้งก็ไม่เป็นไรแต่อย่าบ่อยละ
2. อ่านหนังสือล่วงหน้าและหมั่นทบทวนบทเรียน
3. ขยันทำแบบฝึกหัดที่เรียนมาแล้ว
4. หาแรงจูงใจในการเรียน อ่านหนังสือ ทำแบบฝึกหัด
5. ให้รางวัลตัวเองบ้างในบางครั้ง
6. ไม่อ่านหนังสือนานติดต่อกันเกินกว่า 40 – 45 นาที ควรจะมีการพักซัก 5 – 10 นาทีเพื่อนผ่อนคลายสมองบ้างหลังจากที่เหนื่อยล้ามากแล้ว เพราะถ้าเกินกว่านี้สมองของคนเรา จะไม่ค่อยรับรู้เรื่องอะไรอีกแล้ว(ยากที่จะให้จำ)
7. อย่าหักโหมและบังคับตัวเองจนมากเกินไป เพราะจากที่ดีแล้วจะเครียดเปล่าๆ
8. หากิจกรรมทำในยามว่างบ้าง เช่น ออกกำลังกาย เล่นกีฬา กิจกรรมต่างๆ
9. เมื่อมีเรื่องทุกข์ใจหรือไม่สบายใจไม่ควรอ่านหนังสือเพราะจะทำให้หงุดหงิดมากขึ้นเปล่าๆ
10. นั่งสมาธิทำจิตใจให้สงบก่อนและหลังอ่านหนังสือทุกครั้ง หรืออาจทำในยามว่างก็ได้
11. ตั้งจุดมุ่งหมายในชีวิตที่เราต้องการให้มีแรงใจทำให้สิ่งนั้นสำเร็จ

วันอาทิตย์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2554

ถ้ำใต้น้ำ





สถานที่แห่งนี้มีชื่อว่า Cenote Angelita ในประเทศเม็กซิโก โดย Cenote Angelita มีความหมายเป็นภาษาอังกฤษว่า little angel นางฟ้าตัวน้อย สถาน ที่แห่งนี้เป็นถ้ำในแนวดิ่ง ที่มีน้ำท่วมขังเมื่อคุณดำน้ำลงไปลึกกว่า 30 เมตร ภาพที่ปรากฏให้เห็นนั้นช่างประหลาด และน่าประทับใจ อย่างยิ่งที่ได้พบเห็น เมื่อพบว่าพื้นเบื้องล่างมีกิ่งไม้ ใบไม้ เหมือนเป็นพื้นป่า แต่ปรากฏร่องคล้ายแม่น้ำสีขุ่นมัว เหมือนควันปกคลุมอยู่บางส่วน แยกตัวออกจาก น้ำใสสะอาดทับอยู่เบื้องบน โดย แท้จริงแล้ว สิ่งที่เห็นเหมือนแม่น้ำเบื้องล่าง คือ ก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ (hydrogen sulphide) เป็นก๊าซพิษที่มีอันตรายถึงชีวิตถ้าสูดดมเข้าไป ที่เกิดจากการทับถม ผุพังของเศษซากพืชซากสัตว์ ที่ถูกกแบคทีเรียย่อยสลายซัลไฟต์ในสารอนินทรีย์ในสภาวะขาดออกซิเจน ชั้น ก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ จะมีปรากฏที่ระดับความลึก 30 ถึง 34 แบ่งระหว่าง น้ำจืดด้านบน และ น้ำเค็มเบื้องล่าง ส่วนถ้ำนี้มีความลึก ประมาณ 57.6 เมตร หลาย คนอาจจะสงสัยว่าถ้าเป็น ก๊าซ ทำไมมันไม่ลอยขึ้นข้างบน ก็เนื่องจาก ก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ มีค่าความถ่วงจำเฉพาะอยู่ที่ 1.363 ซึ่งหนักกว่าน้ำแต่เบากว่าน้ำเค็มทำให้มันปรากฏเป็นชั้นๆ

5วิธีทำให้เป็นที่รักใคร่ของเพื่อนฝูง

1. ทำตัวให้เป็นธรรมชาติ
คือการไม่เสแสร้งเข้าใส่กันและกัน การดูถูกดูหมิ่นและเหยียดหยามผู้อื่น ไม่เป็นคนวางท่า สิ่งต่างๆ เหล่านี้เองที่เป็นเหตุให้คนเราขาดเพื่อนที่จริงใจ ดังนั้นถ้าเราต้องการให้ผู้อื่นรักและชื่นชม ก็คงต้องปฏิบัติตัวเสียใหม่ ทำตัวเราให้น่ารัก เป็นคนที่พูดจาจริงใจ ปากตรงกับใจเป็นดีที่สุด และไม่ควรกระทำการใดๆ ที่ผู้อื่นเดือดร้อนโดยเด็ดขาด

2. อารมณ์ดี
เป็นคนที่มีอัธยาศัยดี ร่าเริง ไม่เคร่งเครียดคิ้วขมวดติดกัน เพราะคงไม่มีใครที่อยากเข้าใกล้กับคนที่มีนิสัยขี้หงุดหงิด ขี้โมโห ฉุนเฉียว มีความก้าวร้าว อารมณ์ร้าย และรุนแรง หรือเป็นคนที่อารมณ์แปรปรวนง่ายๆ และยิ่งถ้าเราเป็นคนอารมณ์ไม่ดีอยู่เสมอๆ ต้องหาสาเหตุแล้วแก้ไข มิฉะนั้น ตัวของเราเองจะกลายเป็นคนไร้เพื่อน และสังคมไม่ให้การยอมรับอีกด้วย เพราะคนอื่นๆ จะดีตัวออกห่างเราไปทีละคนสองคน เพื่อไปหาคนที่อารมณ์ดีที่เขาอยู่ใกล้แล้วสบายใจ

3. สนใจฟัง "เขา" มิใช่พูดแต่เรื่องของตนเอง
เช่น เรากำลังสนทนาอยู่ในกลุ่มเพื่อน แต่เราคุยฟุ้งแต่เรื่องส่วนตัวของเรา.."เมื่อวานนี้ไปเที่ยวทะเลมา สนุกมาก ได้เล่นน้ำทะเลกันจนเย็นแถมตัวดำอีก พอกลับมาเมื่อเช้านี้คุณแม่เกิดไม่สบายกะทันหัน ต้องพาไปโรงพยาบาล และไม่มีใครดูแลคุณพ่อที่เป็นอัมพฤกษ์.."
จากคำพูดข้างต้น คนที่พูดก็ช่างเจรจาเหลือเกิน พูดถึงแต่เรื่องตัวเอง โดยที่ไม่เปิดโอกาสให้เพื่อนๆ ในกลุ่มใดพูด หรือแสดงความคิดเห็นบ้างเลย ซึ่งจริงๆ แล้วคนเราที่เป็นกลุ่มเพื่อนกันก็คงต้องการคุยเรื่องของตนเองให้เพื่อนฟังบ้างแต่ต้องมีการแลกเปลี่ยน และสนใจเรื่องของเขามากกว่าพูดแต่เรื่องของตนเอง

4. รู้จัก "ให้" และ "รับ"
ข้อนี้คงไม่ต้องบอก เพราะใครๆ ก็รู้ แต่ก็มีคนจำนวนมากไม่ยอมปฏิบัติ มีแต่จะรับข้างเดียว หวังแต่ผลประโยชน์ที่จะเกิดกับตัวเองเพียงเท่านั้น ส่วนคนอื่นไม่สนใจ ซึ่งคนประเภทที่ชอบรับข้างเดียว ไม่ได้ให้ผู้อื่นตอบแทนบ้างเลย จัดเป็นคนที่มีลักษณะเป็นคนเห็นแก่ตัว..คนมักมาก, คนเอาเปรียบ, คนเอาแต่ได้ แต่คนที่ให้มากกว่ารับจะมีเพื่อนมากกว่าคนที่รับมากกว่าให้อย่างแน่นอน

การให้และการรับไม่ได้หมายความเฉพาะวัตถุ แต่รวมไปถึงการให้ความช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อน หรือคนที่ตกทุกข์ได้ยาก สิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นการให้ที่มีคุณค่ามาก และโดยปกติคนทั่วไปก็คงชอบคนที่ให้เราบ้างยอมรับจากเราบ้างเพราะเวลาเขารับอะไรจากเรา เรารู้สึกดีใจและพอใจ แต่ถ้าคุณเป็นฝ่ายรับจากเขาอยู่ข้างเดียว ก็คงต้องรู้สึกระอาใจบ้างไม่มากก็น้อย

5. มองโลกในแง่ดี
เราลองหันไปมองรอบๆ ตัวเราว่าเป็นอย่างไร โดยขอให้มีโลกทัศน์ที่กว้างไกล ไม่ตำหนิ หรือติเตียนสิ่งต่างๆ อยู่ตลอดเวลา เช่น คนนี้เป็นคนไม่ดี บ้านนี้มีอะไรที่แปลกและน่ากลัว ผู้หญิงคนนี้ไม่น่าคบ ฯลฯ คงเห็นแล้วว่าถ้าคนเรามีความคิดเช่นนี้กันทุกคน สังคมก็คงวุ่นวายน่าดูและคงมีแต่ปัญหามากมายที่จะเกิดขึ้น แต่ถ้าเราลองมองโลกในแง่ดีบ้าง และทำเป็นประจำอยู่ตลอด คนที่อยู่ใกล้เราก็จะมีความสุข