วันพุธที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

12 กฎหมาย ที่รู้ไว้เป็นประโยชน์กับผู้หญิง



กฎหมายใกล้ตัวหลายคนอาจไม่เคยสนใจ บางครั้งเรื่องใกล้ตัวนี่แหละที่พอเกิดปัญหาหลายคนมักจะมองข้าม อ.ประมาณ เลืองวัฒนะวณิช ในฐานะนักกฎหมายที่คุ้นเคยกับ Lisa มานาน จึงอยากทำหน้าแจ้งสิทธิประโยชน์ที่ผู้หญิงควรจะรู้เอาไว้ เพื่อจะได้ไม่เสียเปรียบใคร

กฎหมายครอบครัว

1. การหมั้น ถ้าหมั้นกันแล้วไม่แต่งงานกัน เช่น ผู้ชายตายของหมั้นก็เป็นของผู้หญิง ต่อให้ผู้หญิงตายของหมั้นก็เป็นมรดกไปสู่ครอบครัวผู้หญิง ถ้าผู้ไปมีคนอื่นเราก็ริบของหมั้นได้เลย โดยที่ไม่ต้องแต่งงาน

2. เงื่อนไขการสมรส ผู้หญิงมีสิทธิเลือกจะใช้นามสกุลตัวเอง หรือนามสกุลสามี หรือจะใช้ทั้งสองอย่างเลยก็ได้ ตรงกันข้ามผู้ชายจะไปใช้นามสกุลผู้หญิงไม่ได้ ยกเว้นผู้หญิงจะเป็นต้นของนามสกุล

3. ทรัพย์สินระหว่างสามี-ภรรยา อะไรที่ได้มาระหว่างการสมรสเป็นสินสมรสทั้งสิ้น ยกเว้นมรดกตกทอดจากพ่อแม่ ฉะนั้น เราเป็นผู้หญิง เราต้องหาผู้ชายที่ทำมาหากิน เพราะผู้ชายทำงานมาก็เป็นของเราด้วยเหมือนกัน

4. การหย่า พอจะเลิกกันอะไรที่เคยหามาตอนแต่งงานกัน ต่อให้เป็นชื่อของผู้ชาย ต้องระบุให้ชัดเจนก่อนหย่าเลยนะ ห้ามบอกว่าจะไปตกลงกันเอง เพราะโอกาสโดนเบี้ยวมีสูง ทำให้มันเรียบร้อยก่อนจะหย่า

5. บุตรนอกสมรส หญิงกับชายอยู่กินกันโดยไม่จดทะเบียนสมรส เวลามีบุตรเกิดมา บุตรจะเป็นบุตรโดยชอบธรรมของฝ่ายหญิง แต่เป็นบุตรนอกกฎหมายของฝ่ายชาย ถ้าเราต้องการให้เขามาเลี้ยงดู แต่เขาไม่มา เราฟ้องเลย ตรวจดีเอ็นเอว่าใช่ เขาต้องจดทะเบียนรับรองบุตร และส่งเสียลูกเราด้วย

6. มรดก ผู้หญิงผู้ชายสิทธิเท่าเทียมกัน ต้องได้รับเท่ากัน ในกรณีที่ไม่มีพินัยกรรม ต่อให้เราออกจากบ้านไปนานขนาดไหน เราก็มีสิทธิ์ที่จะได้

กฎหมายแรงงาน

7. สัญญาจ้างแรงงาน ผู้หญิงได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายแรงงาน จะมาใช้ให้ทำงานดึก ๆ ดื่น ๆ โดยไม่เต็มใจไม่ได้ ถ้าท้องก็ต้องให้ลาคลอด 90 วัน หรือทำงานอยู่ดี ๆ โดยให้ออกไม่สมเหตุสมผล ต้องได้ค่าชดเชย ทำงานเกิน 4 เดือนชดเชย 1 เดือน, เกิน 1 ปีได้ 3 เดือน และเกิน 3 ปีได้ 6 เดือน มันมีสิทธิ์ของผู้หญิงเยอะต้องดูให้ดี

8. กฎหมายการล่วงละเมิดทางเพศในที่ทำงาน นายจ้างที่เป็นชายจะมาล่วงละเมิดลูกจ้างที่เป็นหญิงไม่ได้ ไม่ว่าจะสายตา ท่าทาง คำพูด หรือมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม สามารถร้องเรียนได้

9. การกู้ยืมเงิน ถ้าเราไม่ได้เกี่ยวข้องอย่าไปเป็นผู้ค้ำประกัน เพราะเป็นผู้ค้ำประกันเท่ากับเป็นลูกหนี้เลยนะ เรื่องแบบนี้เราต้องทำความเข้าใจว่า ถ้าค้ำเค้าไม่ส่งหนี้จะมาที่เราทันทีเลยนะ

กฎหมายแพ่ง

10. การเช่าซื้อกับการขายแบบผ่อนส่ง ถ้าซื้อขายแล้วติดไฟแนนซ์อยู่ อย่างซื้อรถ หากผู้เช่าซื้อไม่มีปัญญาส่งต่อ เอาไปขายให้คนอื่น แล้วคนอื่นผิดสัญญา แถมยังหารถไม่เจอ ผู้เช่าซื้อตั้งแต่แรกต้องเป็นคนรับผิดชอบนะ ผู้หญิงต้องจำไว้ จะเอาอะไรไปขายต่อใครก็ต้องระวังให้ดี

11. การขายฝาก เวลาเป็นหนี้ใคร เราเอาที่ดินหรือบ้านไปประกัน เวลาเราไม่มีเงินจ่ายเขา เขาก็ฟ้อง ถ้าเป็นการฝากขายนี่ผิดสัญญาปุ๊บ เขายืดได้เลย เราไม่มีโอกาสยื่นอุทธรณ์ใด ๆ เลย

12. การจำนอง ถ้าจะทำเอกสารกู้ยืมอะไร ให้ทำเป็นการจำนอง เพราะถ้าขาดส่งเรายังมีเวลาได้หายใจ ด้วยการยื่นอุทธรณ์ ของ ๆ เราก็ยังมีสิทธิ์กลับมาเป็นของเราได้ และถ้ากู้พวกสินไถ่ทั้งขายฝากและจำนอง ห้ามคิดดอกเกินร้อยละ 15 นะ ถ้าเกินกว่านี้ฟ้องได้เลย

คุณประโยชน์ของปลากระป๋อง


รู้กันอยู่แล้วว่าปลามีประโยชน์มากมาย เป็นแหล่งโปรตีนที่ดี ย่อยง่าย อุดมด้วยสารทอรีนซึ่งมีผลต่อพัฒนาการทางสมองของเด็ก และมีกรดไขมันจำเป็นที่ชื่อ น้ำมันปลา หรือโอเมก้า 3 ซึ่งสามารถใช้ลดไขมันในเลือด ลดความดันเลือด และยังแก้อาการอักเสบในร่างกายได้

ปลากระป๋องก็มีคุณสมบัติเช่นเดียวกับเนื้อปลาธรรมชาติ แต่จุดอ่อนของปลากระป๋องก็คืออยู่ในกระป๋องและไม่สดเช่นเดียวกับปลาจากแหล่งน้ำ ที่อร่อยกว่า

ทอรีน เป็นกรดอมิโนที่พบมากในปลาและสัตว์น้ำ สารตัวนี้จำเป็นสำหรับสุขภาพของประสาท กล้ามเนื้อ และเกล็ดเลือดของเรา หากร่างกายได้รับทอรีนไม่พอในเด็กอาจจะมีผลกระทบต่อพัฒนาการทางสมอง โดยเฉพาะเด็กที่ดื่มนมวัว แต่ในนมแม่มีทอรีนเพียงพอ

สรุปบทบาทของทอรีนต่อสุขภาพโดยทั่วไป คือ สามารถลดอัตราเสี่ยงต่อโรคหัวใจขาดเลือด ช่วยขับคอเลสเตอรอลออกจากร่างกาย ช่วยป้องกันตับอักเสบโดยเฉพาะในรายที่กินเหล้ามาก่อน ช่วยควบคุมน้ำตาลในรายที่เป็นเบาหวาน ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้คล่องและช่วยป้องกันอาการซึมเศร้า

น้ำมันปลา หรือกรดไขมันจำเป็นชนิดโอเมก้า 3 มีชื่อเรียกอย่างอื่นคือกรด EPA (eicosapentaenoic acid) และ DHA (docosahexaenoic acid) คนละอย่างกันและมีประโยชน์ต่างจากน้ำมันตับปลา ซึ่งเป็นวิตามินเอ

บทบาทที่สำคัญของน้ำมันปลาคือ จะช่วยลดอาการอักเสบนานาประการทั่วร่างกาย หากกินมากพอจะช่วยควบคุมระดับไขมันในเลือด ลดได้ทั้งคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ ลดความดันเลือดสูง ป้องกันอาการกังวล อาการซึมเศร้า และป้องกันมะเร็ง

ประโยชน์ของ ... ขอบขนมปัง



เคยได้ยินมาว่าส่วนของขนมปังที่มีไฟเบอร์มากที่สุดคือบริเวณขอบขนมปัง ทำให้เกิดความสงสัยว่าขนมปังเวลาอบก็ใช้แป้งอบเป็นก้อนเดียว กันไปเลย แต่เหตุไฉนไฟ เบอร์จึงมีปริมาณสูงแค่บริเวณขอบ

ไม่ใช่ไฟเบอร์ แต่เป็น สารต้านอนุมูลอิสระ ดร.โทมัส ฮอฟมานน์ นักวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยมุนสเตอร์ เยอรมนี เป็นผู้พบว่า ขอบขนมปังเป็นแหล่งสารต้านอนุมูลอิสระอันอุดมสมบูรณ์มากกว่าส่วนอื่นๆ ของขนมปัง งานวิจัยของเขามาจากการตรวจสอบขอบขนมปัง เนื้อขนมปัง และแป้งธรรมดา พบว่าขอบขนมปังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่เรียกว่า โพรนีลไลซีน (pronyl-lysine) มากกว่าในส่วนที่เป็นขนมปังขาว 8 เท่าขณะที่แป้งธรรมดาไม่มีเลย หมายความว่า สารต้านอนุมูลอิสระที่ว่าจะเกิดขึ้นต่อเมื่อขนมปังผ่านกระบวนการอบมาแล้วเท่านั้น

สารโพรนิลไลซีน เกิดขึ้นจากปฏิกิริยาของกรดอะมิโนแอล-ไลซีน แป้ง และน้ำตาล ในขั้นตอนการอบ เรียกว่าปฏิกิริยาเมลาร์ด (Maliiard reaction) ซึ่งเป็นตัวการที่ทำให้เกิดสีน้ำตาลบนผิวหน้าของขนมปังที่ผ่านการอบแล้ว และกระ บวนการนี้ยังเป็นตัวสร้างสารให้กลิ่น รสชาติให้ขนมปัง รวมทั้งสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่นๆ

งานวิจัยบอกด้วยว่าขนมปังที่มีสีน้ำตาลเข้ม เช่น ขนมปังโฮลวีท มีสารต้าน อนุมูลอิสระมากกว่าขนมปังสีขาว และสารต้านอนุมูลอิสระจะยิ่งเพิ่มจำนวนหากก้อนขนมปังที่เข้าเตาอบมีขนาดเล็ก เพราะชิ้นขนมปังเล็กๆ จะมีพื้นผิวที่มากขึ้นในการเกิดปฏิกิริยาในกระบวนการนี้ หากเทียบกับขนมปังที่เป็นก้อนใหญ่ หรือเป็นปอนด์ แต่ฮอฟมานน์เตือนว่า ถ้าพยายามอบขนมปังให้เป็นสีน้ำตาลจนเกรียมมากไป สารเคมีที่มีประโยชน์ก็จะอันตรธานได้ง่ายๆ เหมือนกัน

ทั้งนี้ วิธีการที่ทำให้ขอบขนมปังมีประโยชน์คือการอบ จากที่กระบวนการอบเป็นการเปลี่ยนสภาพที่ยังดิบให้สุกโดยการใช้ความร้อน ซึ่งทั่วไปแล้วเตาอบ จะมีอุณหภูมิระหว่าง 191-232 องศาเซลเซียส ระยะเวลาในการอบขึ้นอยู่กับขนาดและส่วนผสมของขนมปังแต่ละชนิด ในขณะอบจะเกิดการเปลี่ยนแปลง ทางกายภาพและทางเคมีในโด คือ.......

ความร้อนจะแผ่กระจายไปยังโด กระตุ้นให้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มีแรงดัน น้ำกลายเป็นไอและแอลกอฮอล์ขยายตัว ช่วยกันดันโครงร่างของโดให้มี ปริมาตรเพิ่มขึ้น

ขณะเดียวกันความร้อนในช่วงแรกของการอบจะกระตุ้นการทำงานของยีสต์และเอนไซม์ให้เกิดกระบวนการหมักเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดก๊าซและแอลกอฮอล์ เสริมขึ้นมา ซึ่งโดยปกติยีสต์จะหยุดการทำงานที่ 43 องศาเซลเซียส และจะตายที่อุณหภูมิ 54 องศาเซลเซียส เมื่อความร้อนเพิ่มขึ้นสตาร์ชจะพองตัวและกลายเป็นเจล ขณะขนมปังสุกนี้ สตาร์ชจะเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะอะมิโลสจะเคลื่อนย้ายออกจากเม็ดสตาร์ช เมื่อทำให้ขนมปังเย็นและทิ้งไว้นาน อะมิโลสจะเปลี่ยนแปลงกลับ มีลักษณะขุ่นเป็นตะกอนขาวอีกครั้ง

ในระหว่างที่สตาร์ชเกิดเจลนั้นจะดึงน้ำจากโดมาทำให้กลูเตนสูญเสียน้ำ เปลี่ยนสภาพจากเดิมที่เคยยืดหยุ่นกลับแข็งตัวขึ้น ทำให้ได้โครงร่างของเซลล์มีรูพรุน ผนังเซลล์บางเป็นใยเชื่อมติดกัน รูปรีบ้าง กลมบ้าง กระจายอยู่ทั่วไปทั้งก้อนขนมปัง ในขณะเดียวกันเอนไซม์และยีสต์จะค่อยๆ ตายไป เนื่องจากทนความร้อนที่เพิ่มขึ้นไม่ได้

ส่วนผิวนอกของขนมปังจะเปลี่ยนสีเพราะเกิดคาราเมล เนื่องจากความร้อนทำให้น้ำตาลที่ผิวโดเปลี่ยนสภาพเป็นสีน้ำตาล และการเกิดปฏิกิริยาเมลาร์ด จากน้ำตาลและกรดอะมิโน ให้สารสีน้ำตาลเรียกว่ามิลานอยดิน พร้อมเกิดสารให้กลิ่นรส และสุกในที่สุด โดยเกิดการสูญเสียน้ำหนักของก้อนโด 9-10% เนื่อง จากการระเหยของน้ำและสารอื่นๆ

วิธีดับอารมณ์ร้อน




เราทุกคนต่างมีอารมณ์โกรธ ไม่พอใจด้วยกันทั้งนั้น แต่บางครั้งถ้าเราระงับได้ ก็ส่งผลดี ทั้งในแง่จิตใจและสัมพันธภาพ

1. นับ 1-10 ..... ไม่ใช่เรื่องตลก..ก ในยามที่คุณไม่สบอารมณ์กับคำพูดของเพื่อนบางคน แล้วแทนที่จะสวนกลับด้วยคำพูดที่เจ็บแสบพอกัน กลับปรับอารมณ์ตัวเองด้วยการนับ 1 -10 ในใจ เพื่อที่จะห้ามตัวเอง และมีเวลาพิจารณาคำพูดของเพื่อน ๆ ว่า กำลังอยู่ใน อารมณ์ที่กำลังเย้าแหย่เล่น มากกว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นก็ป่วยการที่จะโกรธเคืองให้งานกร่อย ปล่อยให้เล่นสนุกไปสักพักเดี๋ยวก็เลิกเล่นกันเองแหล่ะ แต่ถ้ายังทนไม่ไหว ก็เพิ่มจาก 10 เป็น 20 30 จนถึง 100

2. เลี่ยงหลบๆ ไปให้พ้น ..... ถ้ารู้ว่าเป็นคนอารมณ์ร้อน และมักจะใช้กำลังทำลายข้าวของ หรือแม้กระทั่งคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า วิธีการเลี่ยงออกไปจากตรงนั้นเป็นการดีที่สุด สองมือล้วงกระเป๋าสองเท้าก้าวออกไปจากจุดนั้น จนกว่าจะสามารถระงับอารมณ์ตัวเองได้ จึงหันหน้ากลับมายังทิศทางเดิมเพื่อสะสางปัญหา

3. ตังใจฟัง.....ระหว่างการอภิปรายหรือโต้เถียงอย่างรุนแรง และคุณก็เป็นคนหนึ่งที่ถูกพาดพิง และวิจารณ์อย่างดุเดือด การโต้ตอบทันทีทันใดแบบเลือดขึ้นหน้า เป็นการเปล่าประโยชน์และแสดงวุฒิภาวะทางอารมณ์อย่างไม่ควจจะเป็น การตั้งใจฟังจะทำให้คุณใคร่ครวญ ถึงคำพูดที่ถูดพาดพิงได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เพราะคนที่พูดนั้นมีโอกาสที่จะพลาดได้มากกว่าคนที่ไม่พูดอะไรเลย

4. หมั่นฝึกสมาธิ.....สมาธิเป็นการฝึกจิตชั้นดีที่สุดที่สามารถทำให้คนอารมณ์ร้อนกลายเป็นคนอารมณ์เย็น สุขุมนุ่มลึก สมองปลอดโปร่ง แล้วบรรดาเรื่องต่าง ๆ ก็จะไม่สามารถกวนคุณให้อารมณ์ปะทุขึ้นได้โดยง่าย

5. ฝึกอ่านหนังสือตั้งแต่ต้นจนจบ.....เปิดหนังสือหน้าแรกก็ต้องรีบวาง ไม่ใช่ว่าหนังสือหน้าเบื่อ แต่เป็นเพราะคุณไม่อาจทนต่อการอ่านหนังสือจนจบได้ ดังนั้นการฝึกอ่านหนังสือตั้งแต่หน้าแรกไปถึงหน้าสุดท้าย นอกจากจะได้ความคิดดี ๆ แล้ว ยังลดความพลุ่งพล่านทางอารมณ์ของคุณได้อีกด้วย

6. คิดหาเหตุผล.....หลักการทางวิทยาศาสตร์ยังใช้ได้ดีกับคนอารมณ์ร้อนอีกด้วย จงใช้วิจารณญาณ ในการคิดและตัดสินใจ จะพบว่าที่เคยร้อนจะผ่อนคลายลงเป็นเย็นเยียบ และเฉียบขาดในการแก้ไขปัญหานั้น ๆ

7. ฝึกขอโทษ..... คำว่าขอโทษสามารถระงับอารมณ์ร้อนของคุณเองได้ แล้วยังสามารถระงับอารมณ์เดือด ๆ ของคนอื่นได้ด้วย การเริ่มตันในบางสถาณการณ์ด้วยคำว่าขอโทษ องศาเดือดที่ทำท่าว่าจะคุกรุ่นย่อมลดลงด้วยเช่นกัน

8. ยิ้มเข้าไว้ ..... คุณเคยยิ้มแบบเสแสร้งไหม ? ยิ้มแบบที่ไม่รู้ว่าจะทำอะไร ยิ้มแก้เขิน ยิ้มทั้ง ๆ ที่ไม่อยากยิ้ม แต่เมื่อยิ้มออกไปแล้วจะไม่มีภัยมาถึงตัว เพราะรอยยิ้มคือมิตรภาพ คือความอบอุ่น คือไมตรีจิตที่ส่งถึงกันได้ การยิ้มบ่อย ๆ จะสามารถระงับอารมณ์ร้อน ๆ ของคุณได้อย่างที่คุณคาดไม่ถึงเลยทีเดียว