วันศุกร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2554

ซากุระ

ซากุระ" มาจากคำเก่าแก่สองคำ คือ "ซา" หมายถึง วิญญาณแห่งพืชพันธุ์ และ "กุระ" หมายถึง ที่ประทับของเทพเจ้า ดังนั้นคำว่า "ซากุระ" จึงหมายถึง ที่สถิตของจิตวิญญาณแห่งพืชพันธุ์ทั้งปวง

ในแง่ของตำนาน ซากุระเกิดขึ้นมาเพราะเทวนารีองค์หนึ่ง คือโคโนะฮานะ ซากุยะ ฮิเมะเชื่อกันว่า พระนางเป็นผู้ริเริ่มปลูกซากุระขึ้นเป็นครั้งแรก จึงได้ชื่อตามพระนามของนาง

โคโนะฮานะ ซากุยะ ฮิเมะ เป็นธิดาของโอโฮยามัทซูมิ เทพแห่งภูเขา วันหนึ่งพระนางได้พบเทพนินิงิที่ชายทะเล และตกหลุมรักซึ่ง กันและกัน เทพนินิงิทูลขอเทพโอโฮยามัทซูมิเพื่อขอนางมาเป็นชายา ในตอนแรก เทพโอโฮยามัทซูมิได้เสนอธิดาอีกพระองค์หนึ่ง ซึ่งเป็นเทพีแห่งก้อนหินมาเป็นคู่สยุมพรแทน แต่เทพนินิงิไม่ยอม พระองค์ยังยืนกรานในรักมั่นที่มีต่อเทวี แห่งซากุระ ในที่สุดจึงได้วิวาห์ดังที่ปรารถนา หลังอภิเษกได้เพียงวันเดียวเทพีโคโนะฮานะ ซากุยะ ฮิเมะก็ทรงครรภ์ เทพโอโฮยามัทซูมิทรงคลางแคลงพระทัยว่าบุตรในท้องไปลู กของพระองค์จริงหรือไม่

การที่เทพีโคโนะฮานะ ซากุยะ ฮิเมะ ได้กำเนิดโอรสในกองเพลิงนี่เอง ทำ ให้ชาวบ้านเชื่อกันว่า พระนางควบคุมไฟได้ เลยก็เลยมีการสร้างศาลบูชาพระนางขึ้นที่ตีนภูเขาไฟฟู จิในปี ค.ศ.806 ด้วยความหวังว่า พระนางจะช่วยไม่ให้ภูเขาไฟพิโรธ ทำให้ประชาชนเดือด ร้อน พระนางจึงกลายเป็นเทพีแห่งภูเขาไฟฟูจิด้วย จนถึงทุกวันนี้ ผู้ที่ไปเยือนภูเขาไฟฟูจิมักจะแวะไปศักการะศาลของพระ นางและเชื่อกันอีกอย่าง ว่า เมล็ดพันธุ์ของต้นซากุระที่พระนางนำมาปลูกเป็นครั้งแ รกในญี่ปุ่นนั้น ก็มาจากภูเขาไฟฟูจิซึ่งพระองค์ดูแลอยู่นี่เอง

นอก จากนั้น พระนางยังเป็นเทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์ ความปลอดภัยในบ้านและเปลี่ยนโชคร้ายให้กลายเป็นดี ให้ผู้คนได้ตามที่หัวใจปรารถนาด้วย

ประวัติเปตองโลก

ประวัติเปตองโลก
กีฬาเปตอง ถือกำเนิดขึ้นในภาคพื้นยุโรป โดยเฉพาะประเทศฝรั่งเศส ได้คิดค้นกติกาการแข่งขันขึ้นมา
จึงถือได้ว่า เปตองมีต้นกำเนิดในประเทศฝรั่งเศส และปัจจุบันที่ตั้งของ สหพันธ์เปตองนานาชาติ อยู่ที่ฝรั่งเศส
และชาวฝรั่งเศส คือ มร.ครูช อซิมา เป็นประธาน มีชาติสมาชิกทั่วโลก จำนวน 80 ประเทศ
ปัจจุบันการแข่งขันเปตองในระดับโลก คือ การแข่งขันชิงแชมป์โลก มีจัดแข่งขันทุกปี โดย ทีมชาย
จะจัดสลับกับ ทีมหญิง (ปีเว้นปี) ในปีที่มีทีมหญิงชิงแชมป์โลก ก็จะจัดเยาวชนชิงแชมป์โลก ซึ่งในปี 2552
มีการแข่งขันเยาชนชิงแชมป์โลก ที่ประเทศตูนีเซีย ( สรายุทธ์ แก้วผุดผ่อง ครองแชมป์โลก ประเภท
สุดยอดมือตี) และชิงแชมป์โลกประเภททีมหญิง ที่ จ.สุพรรณบุรี ( ทีมหญิงของไทย ได้ครองแชมป์โลก)
ส่วนทีมชายจะแข่งขันในปี 2553 ณ กรุงไทเป ไต้หวัน ระหว่างวันที่ 30 ก.ย.-3 ต.ค.2553 ข่าวล่าสุด
ไต้หวันไม่สามารถจัดการแข่งขันได้ สหพันธ์เปตองนานาชาติ จึงได้มอบหมายให้ประเทศตุรกี รับจัดแทน
ระหว่างวันที่ 7-10 ต.ค.2553 ณ เมืองอิสมีร์
- ทีมหญิง มีการแข่งขันแล้ว 12 ครั้ง ประเทศไทยได้เป็นแชมป์โลก ประเภททีมหญิง 5 สมัย
และแชมป์โลกในประเภทสุดยอดความแม่นยำหญิง (Shooting หญิง) 1 สมัย ทีมหญิงไทย ครองแชมป์โลก
มากที่สุด การแข่งขันครั้งต่อไปจะจัดที่ กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม ในปี 2554
- ทีมเยาวชน มีการแข่งขันแล้ว 12 ครั้ง เท่ากับทีมหญิง ประเทศไทย ได้เป็นแชมป์โลก
ประเภทสุดยอดความแม่นยำเยาวชน 2 สมัย ประเภททีมยังไม่ได้ครับ (ได้รองแชมป์โลก 2 สมัย)
- ทีมชาย มีการแข่งขันแล้ว 44 ครั้ง ประเทศไทย ได้เป็นแชมป์โลก ประเภทสุดยอดความแม่นยำ
ชาย 2 สมัย ประเภททีมก็ยังไม่ได้ ล่าสุดที่ เซเนกัล เมื่อปี 2551 ได้ รองแชมป์โลกครับ (ทีมชายได้
รองแชมป์โลก 2 สมัย สมัยแรกได้เมื่อปี 2534)

วันพฤหัสบดีที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2554

*****ตำนานดอกกุหลาบ*****


กุหลาบเป็นดอกไม้ที่นิยมปลูกไว้ชื่นชมมาแต่โบราณ ประมาณกันว่ากุหลาบเกิดขึ้นเมื่อกว่า 70 ล้านปีมาแล้ว เคยมีการค้นพบฟอสซิลของ กุหลาบใน รัฐโคโลราโด และ รัฐโอเรกอน ประเทศสหรัฐอเมริกา และได้พิสูจน์ว่ากุหลาบป่าเป็นพืชที่มีอายุถึง 40 ล้านปี แต่กุหลาบป่าสมัยโลกล้านปีนี้ มีรูปร่างหน้าตาไม่เหมือนกุหลาบสมัยนี้ เนื่องจากมนุษย์ได้นำเอากุหลาบป่ามาปลูกและผสมพันธุ์ ขยายพันธุ์เป็นพันธุ์ต่างๆ มากมาย

ความจริงแล้วกำเนิดของกุหลาบหรือกุหลาบป่านี้มีเฉพาะในแถบบริเวณเหนือเส้น ศูนย์สูตรของโลกเท่านั้น คือกำเนิดในภาคกลางของทวีปเอเชีย แล้วแพร่ขยายพันธุ์ไปตลอดซีกโลกเหนือ ไม่ว่าจะเป็นแถบที่มีอากาศหนาวจัดอย่าง อาร์กติก อลาสก้า ไซบีเรีย หรือแถบอากาศร้อนอย่าง อินเดีย แอฟริกาเหนือ แต่ในบริเวณแถบใต้เส้นศูนย์สูตรอย่างทวีปออสเตรเลีย หรือเกาะต่างๆ ในมหาสมุทรรวมทั้งแอฟริกาใต้ ไม่เคยมีปรากฏว่ามีกุหลาบป่าเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติเลย

ตามประวัติศาสตร์เล่าว่า กุหลาบป่าถูกนำมาปลูกไว้ในพระราชวังของจักรพรรด์จีน ในสมัยราชวงศ์ฮั่นราว 5,000 ปีมาแล้ว ขณะที่อียิปต์เองก็ปลูกกุหลาบเป็นไม้ดอก ส่งไปขายให้แก่ชาวโรมัน ชาวโรมันเป็นชาติที่รักดอกกุหลาบมากถึงจะสั่งซื้อจากประเทศอียิปต์แล้ว ยังลงทุนสร้างเนอร์สเซอรี่ขนาดใหญ่สำหรับปลูกดอกกุหลาบอีกด้วย สำหรับชาวโรมันแล้วเรียกได้ว่าดอกกุหลาบมีความสำคัญกับชีวิตประจำวัน เพราะชาวโรมันถือว่าดอกกุหลาบเป็นสัญลักษณ์ของความรัก ซึ่งเป็นทั้งของขวัญ เป็นดอกไม้สำหรับทำเป็นมาลัยต้อนรับแขก เป็นดอกไม้สำหรับงานเฉลิมฉลองต่างๆ ใช้เป็นส่วนประกอบสำหรับทำขนม ทำไวน์ ส่วนน้ำมันกุหลาบยังใช้ทำเป็นยาได้อีกด้วย

บางตำนานกล่าวว่ากุหลาบเกิดจากการชุมนุมของบรรดาทวยเทพ เพื่อประทานชีวิตใหม่ให้กับนางกินรีนางหนึ่ง ซึ่งเทพธิดาแห่งบุปผาชาติ หรือ คลอริส บังเอิญไปพบนางนอนสิ้นชีพอยู่ ในตำนานนี้กล่าวว่า อโฟรไดท์ เป็นเทพผู้ประทานความงามให้ มีเทพอีกสามองค์ประทานความสดใส เสน่ห์ และความน่าอภิรมย์ และมี เซไฟรัส ซึ่งเป็นลมตะวันตกได้ช่วยพัดกลุ่มเมฆ เพื่อเปิดฟ้าให้กับแสงของเทพ อพอลโล หรือแสงอาทิตย์ส่องลงมาเพื่อประทานพรอมตะ จากนั้น ไดโอนีเซียส เทพเจ้าแห่งเหล้าองุ่นก็ประทานน้ำอมฤต และกลิ่นหอม เมื่อสร้างบุปผาชาติดอกใหม่นี้ขึ้นมาได้แล้ว เทพทั้งหลายก็เรียกดอกไม้ซึ่งมีกลิ่นหอมและทรงเสน่ห์นี้ว่า Rosa จากนั้น เทพธิดาคลอริส ก็รวบรวมหยดน้ำค้างมาประดับเป็นมงกุฎ เพื่อมอบให้ดอกไม้นี้เป็นราชินีแห่งบุปผาชาติทั้งมวล จากนั้นก็ประทานดอกกุหลาบให้กับเทพ อีโรส ซึ่งเป็นเทพแห่งความรัก กุหลาบจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของความรัก แล้วเทพ อีโรส ก็ประทานกุหลาบนี้ให้แก่ ฮาร์โพเครติส ซึ่งเป็นเทพแห่งความเงียบ เพื่อที่จะเก็บซ่อนความอ่อนแอของทวยเทพทั้งหลาย ดอกกุหลาบจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของความเงียบและความเร้นลับอีกอย่างหนึ่ง

*-*ความหมาย สีกุหลาบ*-*


ความหมาย “ดอกกุหลาบ”

กุหลาบแดง ไม่ใช่แค่เพียงบอกว่า ฉันรักเธอ, ผมรักคุณ ธรรมดาๆ เท่านั้น แต่ลึกลงไปถึง รักความดีงามภายในใจ ของเขาและเธอ คือ ความรัก ความปราถนา ความเคารพ

กุหลาบแดงเข้ม(สีเหมือนไวน์แดง) แทนคำว่า "เธอช่างสวยเหลือเกิน" คือ ความงามที่เจ้าตัวไม่ตระหนัก

กุหลาบสีขาว บอกว่า "ฉันรักเธอด้วยใจบริสุทธิ์ ไม่หวังสิ่งใดตอบแทน"คือ ความบริสุทธิ์ ไม่มีสิ่งใดแอบแฝง

กุหลาบสีชมพู โดยทั่วๆไป จะหมายถึง ความอ่อนโยน คือ ความสุข ความชื่นชม มิตรภาพ

กุหลาบสีชมพู อ่อน แสดงความขอบคุณ คือ ความนิ่มนวล ความร่าเริง และความชื่นชม

กุหลาบสีชมพู เข้ม ให้ความหวังว่าแค่ชอบๆ เท่านั้น คือ ความรู้สึกสำนึกบุญคุณ

กุหลาบสีเหลือง บอกถึงความแคร์และห่วงใย ที่จะรักใครสักคน คือ มิตรภาพ ความห่วงใย ความยินดี หรือ ความเป็นอิสระ

กุหลาบสีส้ม บ่งบอกถึงความใคร่และความ ต้องการ คือ การแสดงความกระตือรือร้น และความตื่นตาตื่นใจ

กุหลาบสีม่วง คือ ความรักแรกพบ และ ความมีเสน่ห์หา

กุหลาบแดงและขาวรวมกัน สื่อความหมายให้รู้ว่า "สองเราเป็นหนึ่งเดียวกัน" คือ ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

กุหลาบแดงและเหลืองรวมกัน คือ ยินดีด้วย

Valentine’s Day History


Valentine’s Day History

ในวันแห่งความรัก 14 กุมภาพันธ์ (วันวาเลนไทน์) เราได้แนะนำข้อมูล เกี่ยวกับ วันวาเลนไทน์ภาษาอังกฤษ ให้เพื่อนได้รับทราบข้อมูลประวัติวันวาเลนไทน์ ภาษาอังกฤษ ซึ่ง วันวาเลนไทน์ หรือวันแห่งความรักทำไมจึงต้องเป็นวันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นคำถามที่น่าสงสัยใช่ไหม มีเกร็ดความรู้เรื่อง วันวาเลนไทน์ มาฝากติดตามชมได้เลย วาเลนไทน์ (Valentine) คือวันที่ระลึกถึง นักบุญเซนต์ วาเลนไทน์ (Saint Valentine) ผู้เปี่ยมไปด้วยความรักและความปรารถนาดี ต่อเพื่อนมนุษย์อย่างแท้จริงแต่ เขาต้องจบชีวิตลงด้วยการรับโทษประหารในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270 หรือเมื่อประมาณ 1,728 ปีล่วงเลยมาแล้ว ในจักรวรรดิโรมัน ซึ่งประวัติวาเลนไทน์ อังกฤษได้รวบรวมมาจากเพื่อนสมาชิก ดังนี้

Valentine’s Day is the annual holiday honoring lovers. It is celebrated on February 14 by the custom of sending greeting cards or gifts to express affection. The cards, known as valentines, are often designed with hearts to symbolize love. Every February, across the country, candy, flowers, and gifts are exchanged between loved ones, all in the name of St. Valentine. But who is this mysterious saint and why do we celebrate this holiday? The history of Valentine’s Day — and its patron saint — is shrouded in mystery.

The history of Valentine’s Day is obscure, and further clouded by various fanciful legends. St. Valentine’s Day, as we know it today, contains vestiges of both Christian and ancient Roman tradition. Its roots are obscured by mystery and there are varying opinions about it. Its origins have become themes of many legends.

According to legend, the holiday has its roots in the ancient Roman festival of Lupercalis/Lupercalia, a fertility celebration commemorated annually on February 15. As Christianity came to dominance in Europe, pagan holidays such as Lupercalia were frequently renamed for early Christian martyrs. In 496 AD, Pope Gelasius recast this pagan festival as a Christian feast day circa 496, declaring February 14 to be the feast day of the Roman martyr Saint Valentine, who lived in the 3rd century.

Which St. Valentine this early pope intended to honor remains a mystery. According to the Catholic Encyclopedia, there were at least three early Christian saints by that name. One was a priest in Rome, another a bishop in Terni, and of a third St. Valentine almost nothing is known except that he met his end in Africa. Rather astonishingly, all three Valentines were said to have been martyred on Feb. 14.

Most scholars believe that the St. Valentine of the holiday was a priest who attracted the disfavor of Roman emperor Claudius II around 270. The history of St. Valentine’s Day has two legends attached to it – the Protestant and the Catholic legend. According to both legends, Valentine was a bishop who held secret marriage ceremonies of soldiers in opposition to Claudius II who had prohibited marriage for young men and was executed by the latter. Although many scholars agree that Lupercalia was moved from Feb. 15th to the 14th and was Christianized by associating it with this St. Valentine character, it is still unclear just who the historical St. Valentine was. One school of thought believes that he was a Roman martyred for refusing to give up his Christian faith. According to church tradition St. Valentine was a priest/bishop of Rome in about the year 270 A.D.

At that time the Roman Emperor Claudius-II who had issued an edict forbidding marriage. This was around when the heyday of Roman empire had almost come to an end. Lack of quality administrators led to frequent civil strife. Learning declined, taxation increased, and trade slumped to a low, precarious level. And the Gauls, Slavs, Huns, Turks and Mongolians from Northern Europe and Asian increased their pressure on the empire’s boundaries. The empire was grown too large to be shielded from external aggression and internal chaos with existing forces. Thus more of capable men were required to be recruited as soldiers and officers. When Claudius became the emperor, he felt that married men were more emotionally attached to their families, and thus, will not make good soldiers. He believed it made the men weak. So to assure quality soldiers, he banned marriage.

Valentine, realized the injustice of the decree. Seeing the trauma of young lovers, he met them in a secret place, and joined them in the sacrament of matrimony. He defied Claudius and continued to perform marriages for young lovers in secret. But Claudius soon learned of this "friend of lovers," and had him arrested.

While Valentine was in prison awaiting his fate, he came in contact with his jailor, Asterius. The jailor had a blind daughter. Asterius requested him to heal his daughter. The Catholic legend has it that through the vehicle of his strong faith he miraculously restored the sight of Asterius’ daughter, a phenomenon refuted by the Protestant version which agrees otherwise with the Catholic one. Just before his execution, he asked for a pen and paper from his jailor, and signed a farewell message to her "From Your Valentine," a phrase that lived ever after. Another legend has it that Valentine, imprisoned by Claudius, fell in love with the daughter of his jailer. However, this legend is not given much importance by historians. Probably the most plausible story surrounding St. Valentine is one not focused on Eros (passionate love) but on agape (Christian love): he was martyred for refusing to renounce his religion.

The emperor, impressed with the young priest’s dignity and conviction, attempted to convert him to the Roman gods, to save him from certain execution. Valentine refused to recognize Roman Gods and even attempted to convert the emperor, knowing the consequences fully. What happened was what was to happen. All attempts to convert the emperor failed.

On February 14, 270 AD, Valentine was executed.
Valentine thus become a Patron Saint, and spiritual overseer of an annual festival. The festival involved young Romans offering women they admired, and wished to court, handwritten greetings of affection on February 14. The greeting cards acquired St.Valentine’s name.

It was not until the 14th century that this Christian feast day became definitively associated with love. According to UCLA medieval scholar Henry Ansgar Kelly, author of Chaucer and the Cult of Saint Valentine, it was Chaucer who first linked St. Valentine’s Day with romance.

In 1381, Chaucer composed a poem in honor of the engagement between England’s Richard II and Anne of Bohemia. As was the poetic tradition, Chaucer associated the occasion with a feast day. In medieval France and England it was believed that birds mated on February 14, and the image of birds as the symbol of lovers began to appear in poems dedicated to the day. In Chaucer’s "The Parliament of Fowls," the royal engagement, the mating season of birds, and St. Valentine’s Day are linked:

"For this was on St. Valentine’s Day, When every fowl cometh there to choose his mate."

By the Middle Ages, Valentine was one of the most popular saints in England and France. Despite attempts by the Christian church to sanctify the holiday, the association of Valentine’s Day with romance and courtship continued through the Middle Ages. Over the centuries, the holiday evolved, and by the 18th century, gift-giving and exchanging hand-made cards on Valentine’s Day had become common in England. Hand-made valentine cards made of lace, ribbons, and featuring cupids and hearts eventually spread to the American colonies. The first commercial Valentine’s Day greeting cards produced in the U.S. were created in the 1840s by Esther A. Howlanda Mount Holyoke, a graduate and native of Worcester, Mass. Howland, known as the Mother of the Valentine, made elaborate creations with real lace, ribbons and colorful pictures known as "scrap". The tradition of Valentine’s cards did not become widespread in the United States, however, until Howland began producing them in large scale. Today, of course, the holiday has become a booming commercial success. According to the Greeting Card Association, 25% of all cards sent each year are valentines.The Valentine’s Day card spread with Christianity, and is now celebrated all over the world. One of the earliest card was sent in 1415 AD by Charles, duke of Orleans, to his wife while he was a prisoner in the Tower of London. The card is now preserved in the British Museum.

Whoever Valentine was, we know he was an actual person because archaeologists have recently unearthed a Roman catacomb and an ancient church dedicated to a Saint Valentine.