วันเสาร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2554
...อันตรายจากน้ำอัดลม
คุณแม่ยังสาวคนหนึ่งเสียชิวิตเนื่องจากไตวายทั้งสองข้าง เธอได้รับการรักษาที่รพ.เพอร์ทามิน่าเป็นเวลาหนึ่งเดือน โดยได้รับอนุญาตให้กินได้แค่นํ้า 1 แก้วในหนึ่งวันเท่านั้น หมอให้การรักษาเธอ แต่ดูเหมือนว่าจะสายไปเสียแล้ว เธอเล่าว่าเธอดื่มนํ้าอัดลมตอนทานอาหารกลางวันทุกวัน แต่แม้ว่าเธอจะดื่มนํ้าอัดลมเพียงวันละ 1 แก้ว มันก็สามารถทำลายอวัยวะภายในของเธอได้ ท้ายที่สุดเธอเสียชีวิตลงเมื่อเดือน ต.ค. ปีที่แล้ว โดยทิ้งบุตรชายวัย 1 ขวบไว้ นํ้าอัดลมอันตราย!!!
หัวข้อนี้ไม่ใช่เรื่องการเมืองแต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับ" โค้ก" ซึ่งน่าสนใจมาก สำหรับผู้ที่ชอบดื่มโค้กหรือเป๊ปซี่ซึ่งคิดว่าคุณรู้เรื่องเกี่ยวกับนํ้าอัดลมดีแล้ว นํ้าอัดลมสามารถ....
.........ทำความสะอาดห้องนํ้าโดยการรินโค้กลงในโถชักโครก ทิ้งไว้ 1 ชั่วโมงแล้วจึงกดชักโครก กรดซิติกในโค้กจะขจัดคราบสกปรกได้อย่างดี
.........ใช้ขัดจุดสนิมบนกันชนรถโดยการขัดกันชนด้วยแผ่นอลูมิเนียมฟอยล์ขยําเป็นชิ้นเล็ก ๆและจุ่มโค้ก ใช้ทำความสะอาดรอยกัดกร่อนบนสายแบตเตอรี่รถโดยการรินโค้กให้ทั่วสายแบต ฟองที่เกิดขึ้นจะช่วยขจัดรอยดังกล่าวได้ ช่วยทำให้รอยสนิมบนผ้าจางลงโดยการจุ่มผ้าในโค้กประมาณ 2-3 นาที
.........ช่วยอบแฮมที่ชื้นได้ โดยการเทโค้ก 1 กระป๋องลงในกระทะซึ่งตั้งไฟไว้แล้วใส่แฮมที่ห่อด้วย อลูมิเนียมฟอยล์ลงไป แกะฟอยล์ออก 30 นาทีก่อนแฮมสุก และผสมแฮมกับโค้กจะได้นํ้าเกรวี่สีนํ้าตาล ช่วยขจัดรอยฝังแน่นจากผ้าโดยการเทโค้ก 1 กระป๋องลงบนผ้าสกปรก เติมนํ้ายาซักผ้าและซักตามปกติ โค้กจะช่วยทำให้คราบฝังแน่นจางลง
.........และยังช่วยทำความสะอาดรอยนํ้าซึ่งกระเด็นจากถนนบนกระจกรถได้อีกด้วย แล้วเราก็ดื่มสิ่งนี้ลงไป!!! ข้อมูลเกี่ยวกับโค้กและเป๊ปซี่ นํ้าอัดลม เช่น โค้ก หรือ เป๊ปซี่มีค่ากรดด่างเท่ากับ 3.4 โดยประมาณซึ่งค่าความเป็นกรดนี้สามารถกัดกร่อนฟันและกระดูกได้
............ร่างกายคนเราจะหยุดสร้างกระดูก เมื่อเรามีอายุประมาณ 30 ปี หลังจากนั้นกระดูกจะกร่อนลงประมาณ 8-18% ในแต่ละปี โดยขึ้นอยู่กับความเป็นกรดของอาหารซึ่งบริโภคเข้าไป(ค่าความเป็นกรดไม่ได้ขึ้ นกับรสชาติของอาหาร แต่ขึ้นกับค่าของธาตุโปแทสเซียม แคลเซียม แมกนีเซียม เช่นฟอสฟอรัส เป็นต้น) และจะถูกขับออกจากร่างกายทางปัสสาวะ ส่วนประกอบของแคลเซียมซึ่งมีศักยภาพในการกัดกร่อนกระดูกจะไหลเวียนอยู่ในเส้น เลือดฝอย เส้นเลือดใหญ่เนื้อเยื่อและอวัยวะต่างๆ ซึ่งจะมีผลต่อการทำงานของตับ
............นํ้าอัดลมไม่มีคุณค่าทางโภชนาการแต่อย่างใด (ในแง่ของวิตามิน และแร่ธาตุ) แต่จะมีส่วนผสมของนํ้าตาล มีกรดสูงมาก และมีสารปรุงแต่งจำพวก วัตถุกันเสียและสีมากกว่า บางคนชอบดื่มนํ้าอัดลมเย็นๆหลังทานอาหารแต่ละมื้อ ลองเดาสิว่าคนเหล่านั้นได้รับผลกระทบอะไรบ้าง
............ร่างกายของคนเราขณะย่อยอาหารจะมีอุณหภูมิ 37 องศา แต่นํ้าอัดลมเย็นๆ ที่ดื่มเข้าไปมีอุณหภูมิตํ่ากว่า 37 องศามาก และมีอุณหภูมิเกือบจะ 0 องศาในบางครั้ง กรณีเช่นนี้ทำให้ประสิทธิภาพในการย่อยอาหารของร่างกาย ตํ่าลง การย่อยอาหารทำได้ยากขึ้นและย่อยอาหารได้น้อยลง ในความเป็นจริงแล้ว อาหารในร่างกายจะเสียและส่งแก๊สซึ่งมีกลิ่นเหม็นออกมา อาหารจะเน่าเปื่อย และทำให้เกิดสารพิษซึ่งจะถูกดูดซึมในลำไส้และจะไหลเวียนในระบบเลือดไปทั่วร่างก าย สารพิษซึ่งแพร่ออกไปทั่วร่างกายนี้จะส่งผลให้เชื้อโรคต่างๆเจริญเติบโตได้ดีขึ้น คิดให้ดีก่อนที่คุณ จะดื่มโค้ก เป๊ปซี่ หรือนํ้าอัดลมประเภทอื่น
...........คุณเคยคิดเวลาคุณดื่มนํ้าอัดลมหรือไม่ว่าคุณดื่มอะไรเข้าไป คุณกำลังกลืนสารคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นสารที่ไม่มีใครในโลกจะแนะนำให้คุณดื่ม สองเดือนต่อมา D2 มีการแข่งขันในมหาวิทยาลัย เดลีว่า "ใครดื่มโค้กได้มากที่สุด" ผู้ชนะดื่มโค้กเข้าไป 8 ขวด และเสียชีวิตทันทีเพราะมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือด มากเกินไป และมีก๊าซออกซิเจนในเลือดไม่เพียงพอ
...........หลังจากนั้น ผู้อำนวยการจึงสั่งห้ามขายนํ้าอัดลมในห้องอาหารของมหาวิทยาลัยอีก มีคนใส่ฟันซึ่งหลุดแล้วลงไปในขวดเป๊ปซี่ และมันถูกกัดกร่อนในเวลา 10 วัน ฟันและกระดูกเป็นอวัยวะในร่างกายเพียงอย่างเดียวซึ่งสามารถคงอยู่ได้ อีกหลายปีหลังจากที่มนุษย์เสียชีวิตลง ลองคิดดูสิว่านํ้าอัดลมจะมีผลอย่างไรต่อลำไส้อ่อนๆ และกระเพาะอาหารของเรา
วิหารคาร์นัก Great Temple of Karnak มหาวิหารที่ใหญ่ที่สุดและสวยงามที่สุดของอียิปต์
มหาวิหารคาร์นัก ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองลักซอร์ 3 กิโลเมตร สร้างขึ้นเพื่อถวายแด่เทพเจ้าอะมอนรา (สุริยะเทพ) และเพื่อเป็นสถานที่จัดพิธีกรรมเกี่ยวกับความเชื่อของอียิปต์โบราณ
คาร์นักเป็นชื่อหมู่บ้านของเทพอะมอน เดิมชื่อเมืองวาเซ็ต แล้วต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นนครธีบส์ เป็นเมืองหลวงแห่งอาณาจักรไอยคุปต์มาตั้งแต่ราชวงศ์ที่ 11 จนถึงราชวงศ์ที่ 21 รวมเวลานับ 1,000 ปี (2120-1085 ปีก่อนคริสตกาล) และกลับมาเป็นเมืองหลวงอีกครั้งเป็นเวลา 50 ปี ในราชวงศ์ที่ 25 (716-666 ปีก่อนคริศตกาล)
วิหารคาร์นักสร้างโดยฟาโรห์เซซอสตริสที่1 และอีกหลายพระองค์ต่อมา ซึ่งอยู่ในสมัยยุคกลาง หลักฐานเก่าแก่ที่สุดอยู่ในหมู่วิหารของเทพอะมอนรา คือห้องบูชาและห้องแท่นบูชาเรือศักดิ์สิทธิ์ของเทพอะมอนรา ที่สร้างโดยฟาโรห์เซซอสตริสที่ 1 ต่อมาได้รับการต่อเติมปฏิสังขรณ์ขยายอาณาเขตออกไปเรื่อยๆทุกยุค วิหารแห่งนี้จึงเป็นศูนย์รวมความเชื่อความศรัทธาอันยิ่งใหญ่ของชาวอียิปต์โบราณ เทพเจ้าอะมอนราก็เป็นสุริยะเทพอันยิ่งใหญ่และเป็นเทพประจำเมืองนี้มาโดยตลอด
ช่วงราชวงศ์ที่ 18 - 20 มีการบูรณะวิหารแห่งนี้มากที่สุด และบูรณะต่อเนื่องมาจนถึงยุคโรมันเข้ามาครอบครอง จนกระทั้งกลายเป็นวิหารที่มีอาคารมากมายกว้างขวางและใหญ่โตที่สุดในโลก
วิหารคาร์นักแบ่งได้ 3 ส่วน คือ วิหารเทพอะมอนรา อยู่ตรงกลาง ประกอบด้วยหมู่สถาปัตตยกรรมของเหล่าฟาโรห์หลายยุค ส่วนที่สองอยู่ทางทิศเหนือ คือวิหารเทพมอนตู เทพองค์นี้เคยเป็นเทพประจำถิ่นนี้มาก่อนเป็นสัญลักษณ์แห่งการรบของฟาโรห์และเทวีมะอัต ส่วนที่สามคือ วิหารเทวีมัต ทางด้านใต้ของวิหารอะมอนรา มีทางเชื่อมต่อถึงกันสองข้างทางประกอบด้วยสฟิงซ์กัวแกะนั่งเฝ้าตลอดทาง ด้วย
สองข้างทางเข้าสู่กำแพงชั้นที่ 1 ประดับด้วยสฟิงซ์หัวแกะ ส่วนต้นทางมีเสาโอเบลิสก์ขนาดเล็กของฟาโรห์เซติที่ 2 ฟาโรห์องค์สุดท้ายของราชวงศ์ที่ 19 ตั้งอยู่ ความหมายของเสาโอเบลิสก์ก็คือชีวิตรุ่งโรจน์และความสว่าง เพื่อบูชาสรรเสริญเทพเจ้ารา
ก่อนเข้ากำแพงชั้นที่ 2 มีรูปสลักของฟาโรห์รามเสสที่ 2 ยืนเฝ้าสองข้าง และมีเสาขนาดมหึมาใหญ่กว่าทุกที่ในอียิปต์ แกะสกัดจากหินทรายเป็นท่อนต่อกัน รอบเสาประกอบด้วยภาพแกะสลัก เป็นรูปภารกิจของฟาโรห์ทั้งเรื่องศาสนาและเรื่องสงคราม
ระหว่างกำแพงชั้นที่ 3 และชันที่ 4 เรียกว่าเซ็นทรัลคอร์ต เป็นของตระกูลธุตโมซิสแห่งราชวงศ์ที่ 18 คือธุสโมซิสที่ 1 ผู้พ่อ ธุสโมซิสที่ 2 ผู้ลูก และธุสโมซิสที่ 3 ผู้หลาน ได้สร้างเสาโอเบลิสก์ตั้งไว้บริเวณนี้ 4 ต้น แต่ปัจจุบันเหลือแค่ต้นเดียว เป็นของธุสโมซิสที่ 1 สร้างด้วยหินแกรนิตสีชมพูที่เอามาจากเมืองอัสวาน
ระหว่างกำแพงชั้นที่ 5 และชั้นที่ 6 ก็ยังเป็นผลงานของตระกูลธุสโมซิส มีเสาแท่งสี่เหลี่ยมตั้งคู่ ทำด้วยหินแกรนิตสีชมพูและแกะสลักอย่างประณีต นับว่าเป็นสุดยอดงานฝีมือแกะสลักของช่างสมัยนั้น และเป็นสัญลักษณ์ของสองอาณาจักรที่ฟาโรห์แห่งราชวงศ์นี้ปกครองอยู่คือ เสารูปดอกปาปิรัสอันหมายถึงอาณาจักรล่าง ตั้งอยู่ทางทิศเหนือ ส่วนอีกเสาวางคู่กันแต่อยู่ทางทิศใต้ถูกสลักเป็นรูปดอกลินลี่ ที่สวยงามหมายถึงอาณาจักบน
บริเวณที่หัวมุมของสระน้ำใกล้กับซากเสาโอเบลิสก์ มีอนุสาวรีย์รูปแมลงตัวสแค-รับ ซึ่งเป็นแมลงนำโชค หากจะอธิฐานขอพรในสิ่งที่ดีๆ ให้เดินวนถึง 7 รอบ ตัวแมลงที่ว่าคือลักษณะคล้ายตัวปีกแข็ง แม้ว่ามันจะอยู่ตามใต้ก้อนหินหรือท่อนไม้นานๆ ก็ไม่ตาย ซึ่งหมายถึงการมีอายุยืน ชาวอียิปต์โบราณจึงใช้เครื่องรางหมายถึงการมีอายุยืนเป็นเครื่องรางที่เทียบเท่ากับเทพเจ้าเคปริ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)