1. ไม่ทานอาหารเช้า
หลายคนคิดว่าไม่ทานอาหารเช้า แล้วจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ แต่นี้จะเป็นสาเหตุให้สารอาหารไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ทำให้สมองเสื่อม
2. กินอาหารมากเกินไป
การกินมากเกินไปจะทำให้หลอดเลือดแดงในสมองแข็งตัว เป็นสาเหตุให้เกิดโรคความจำสั้น (เช่น เทพธิดาดิว เป็นต้น)
3. การสูบบุหรี่
เป็นสาเหตุให้เป็นโรคสมองฝ่อและเป็นสาเหตุของโรคอัลไซเมอร์
4. ทานของหวานมากเกินไป
การกินของหวานมาก จะไปขัดขวางการดูดกลืนโปรตีนและสารอาหารที่เป็นประโยชน์ เป็นสาเหตุของการขาดสารอาหารและขัดขวางการพัฒนาองสมอง
5. มลภาวะ
สมองเป็นส่วนที่ใช้พลังงานมากที่สุดในร่างกายการสูดเอาอากาศที่เป็นมลภาวะเข้าไปจะทำให้ออกซิเจนในสมองมีน้อยส่งผลให้ประสิทธิภาพของสมองลดลง
6. การอดนอน
การนอนหลับจะทำให้สมองได้พักผ่อนการอดนอนเป็นเวลานานจะทำให้เซลล์สมองตายได้
7. นอนคลุมโปง
การนอนคลุมโปง จะเป็นการเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ให้มากขึ้นและลดออกซิเจนให้น้อยลงส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของสมอง
8. ใช้สมองในขณะที่ไม่สบาย
การทำงานหรือเรียนขณะที่กำลังป่วย จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลงเหมือนกับการทำร้ายสมองไปในตัว
9. ขาดการใช้ความคิด
การคิดเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการฝึกสมองการขาดการใช้ความคิดจะทำให้สมองฝ่อ
10. เป็นคนไม่ค่อยพูด
ทักษะทางการพูดจะเป็นตัวแสดงถึงประสิทธิภาพของสมอง
อ่านต่อ : http://writer.dek-d.com/kim_potter/story/viewlongc.php?id=310107&chapter=36#ixzz1MfjjSC33
วันอังคารที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
เคล็ดลับสมองดี
>9 เทคนิค ฝึกสมองไบรท์ "
>โดย วนิษา เรซ ผู้เชี่ยวชาญด้านอัจฉริยภาพจาก ม.ฮาร์วาร์ด
>ผู้หญิงสมัยนี้ อยากสวย ฉลาด และสุขภาพดี ทุกคนจึงพากันดูแลรูปร่าง
>ด้วยการออกกำลังกาย เคร่งครัดเรื่องอาหารการกิน
>แต่ไม่เคยมีใครสนใจว่าจะดูแลสมองอย่างไรให้มีสุขภาพดี
>ทั้งที่สมองเป็นอวัยวะที่ตัดสินใจทุกเรื่องของชีวิต
>เราจึงควรเอกเซอร์ไซส์สมองให้ไบรท์ด้วยเทคนิคง่ายๆ ต่อไปนี้
>1. จิบน้ำบ่อย ๆ (Drink water very often)
>สมองประกอบด้วยน้ำ 85 % เชลล์สมองก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง
>ถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เชลล์สมองเหี่ยว
>ซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก
>แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อยๆ
>
>2. กินไขมันดี (Enjoy good Omega 3)
>คนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมัน ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ
>แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วย
>ปลาที่มีไขมันดีอย่างปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวม
>น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดี ที่ทำให้เชลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น
>3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที (Meditation 12 min a day)
>หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที
>เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุดๆ
>ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถจินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์
>(ถ้าทำไม่ได้ตอนเช้า) ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน
>4. ใส่ความตั้งใจ (Program the brain: have specific intention)
>การตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิด
>ระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น
>ทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่างๆ
>เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับสิ่งที่คิดขึ้น
>ทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน
>5. หัวเราะและยิ้มบ่อยๆ (Laugh and Smile)
>ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอ็นโดรฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุข
>หลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้นให้มีความอยากรักและหวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อยๆ
>6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน (Learn new thing everyday)
>สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึง สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น
>กินอาหารร้านใหม่ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่
>คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา เป็นต้น
>เพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอ็นโดรฟิน และโดปามีน
>ซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และสร้างสรรค์ ไปเรื่อยๆ
>เมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์
>7. ให้อภัยตัวเองทุกวัน (Forgive yourself, reduce brain stress)
>ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง
>การให้อภัยตัวเอง เป็นการลดภาระของสมอง
>8. เขียนบันทึก Graceful Journal (Write graceful journal, good things in
>life every day)
>ฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น
>ขอบคุณที่มีครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพที่ดี
>ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข เป็นต้น เพราะการเขียนเรื่องดีๆ
>ให้สมองคิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี
>ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์
>9. ฝึกหายใจลึกๆ (Deep breath)
>สมองใช้ออกชิเจน 20 25 % ของออกชิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึกๆ
>จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง
>ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกชิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนานๆ
>อาจหาเวลายืนหรือเดินยึดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่
>สามารถหายใจเอาออกชิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20%
>การมีสมองที่ดีก็เหมือนทักษะทุกอย่างในโลกที่เรียนรู้ได้ แต่จะเก่งหรือไม่นั้น
>ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน ถ้าเราดูแลและฝึกฝนสมองให้ดี คุณภาพชีวิตก็จะดีตาม
>โดย วนิษา เรซ ผู้เชี่ยวชาญด้านอัจฉริยภาพจาก ม.ฮาร์วาร์ด
>ผู้หญิงสมัยนี้ อยากสวย ฉลาด และสุขภาพดี ทุกคนจึงพากันดูแลรูปร่าง
>ด้วยการออกกำลังกาย เคร่งครัดเรื่องอาหารการกิน
>แต่ไม่เคยมีใครสนใจว่าจะดูแลสมองอย่างไรให้มีสุขภาพดี
>ทั้งที่สมองเป็นอวัยวะที่ตัดสินใจทุกเรื่องของชีวิต
>เราจึงควรเอกเซอร์ไซส์สมองให้ไบรท์ด้วยเทคนิคง่ายๆ ต่อไปนี้
>1. จิบน้ำบ่อย ๆ (Drink water very often)
>สมองประกอบด้วยน้ำ 85 % เชลล์สมองก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง
>ถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เชลล์สมองเหี่ยว
>ซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก
>แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อยๆ
>
>2. กินไขมันดี (Enjoy good Omega 3)
>คนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมัน ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ
>แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วย
>ปลาที่มีไขมันดีอย่างปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวม
>น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดี ที่ทำให้เชลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น
>3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที (Meditation 12 min a day)
>หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที
>เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุดๆ
>ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถจินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์
>(ถ้าทำไม่ได้ตอนเช้า) ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน
>4. ใส่ความตั้งใจ (Program the brain: have specific intention)
>การตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิด
>ระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น
>ทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่างๆ
>เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับสิ่งที่คิดขึ้น
>ทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน
>5. หัวเราะและยิ้มบ่อยๆ (Laugh and Smile)
>ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอ็นโดรฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุข
>หลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้นให้มีความอยากรักและหวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อยๆ
>6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน (Learn new thing everyday)
>สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึง สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น
>กินอาหารร้านใหม่ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่
>คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา เป็นต้น
>เพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอ็นโดรฟิน และโดปามีน
>ซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และสร้างสรรค์ ไปเรื่อยๆ
>เมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์
>7. ให้อภัยตัวเองทุกวัน (Forgive yourself, reduce brain stress)
>ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง
>การให้อภัยตัวเอง เป็นการลดภาระของสมอง
>8. เขียนบันทึก Graceful Journal (Write graceful journal, good things in
>life every day)
>ฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น
>ขอบคุณที่มีครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพที่ดี
>ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข เป็นต้น เพราะการเขียนเรื่องดีๆ
>ให้สมองคิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี
>ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์
>9. ฝึกหายใจลึกๆ (Deep breath)
>สมองใช้ออกชิเจน 20 25 % ของออกชิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึกๆ
>จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง
>ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกชิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนานๆ
>อาจหาเวลายืนหรือเดินยึดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่
>สามารถหายใจเอาออกชิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20%
>การมีสมองที่ดีก็เหมือนทักษะทุกอย่างในโลกที่เรียนรู้ได้ แต่จะเก่งหรือไม่นั้น
>ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน ถ้าเราดูแลและฝึกฝนสมองให้ดี คุณภาพชีวิตก็จะดีตาม
ความเข้าใจผิดๆเกี่ยวกับเรื่องอาหาร
10 ความเข้าใจผิดๆ กับเรื่องอาหาร
คนส่วนใหญ่มักจะมีความเชื่อเรื่องอาหารแตกต่างกัน ซึ่งบางทีก็จริงบ้าง ผิดบ้าง วันนี้เลยเอาความเชื่อที่บางคนคิดว่าถูกแต่จริง ๆ แล้วมันผิดมาฝากกัน..
1.งดมื้อเช้า
ถ้าใครกําลังทําอยู่ก็เลิกเสียเถอะค่ะ เพราะมื้อเช้าเป็นมื้อที่สําคัญมาก นอกจากจะเป็นแหล่งพลังงานให้คุณสู้งานได้อย่างไม่มีถอยแล้ว ยังช่วยให้ไม่หิวมากด้วยก่อนที่จะถึงมื้อต่อไป
2.งดกินทุกอย่างก่อนออกกําลังกาย
ไม่ควรค่ะ เพราะร่างกายต้องการพลังงานเพื่อนํามาใช้ในการเคลื่อนไหวส่วนต่างๆ อยู่แล้ว ฉะนั้น ก่อนออกกําลังกายควรกินพวกอาหารที่มีส่วนประกอบของคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน (เพราะมีไฟเบอร์มากและไขมันต่ำด้วย) อย่างโยเกิร์ต นมถั่วเหลือง หรือขนมปังค่ะ
3.หลังออกกําลังกาย
ควรเว้นช่วงนานๆ แล้วจึงค่อยกิน จริงๆ แล้ว ไม่ต้องเว้นไว้นานขนาดนั้นก็ได้ กินหลังจากออกกําลังกายไปแล้ว 1 ชั่วโมงก็โอ.เค.แล้วละ และควรเลือกกินอาหารที่มีโปรตีนและคาร์โบไฮเดรเชิงซ้อนด้วยนะ เพราะจะได้ไปช่วยเร่งอัตราการเผาผลาญและช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้อให้ดีขึ้นค่ะ
4.กินขนมที่มีส่วนประกอบของโปรตีนหรือโปรตีนเชคแทนข้าว
อาหารขบเคี้ยวเหล่านี้ใช่ว่าจะไม่มีแคลอรีหรือไขมันเลยนะคะ อีกทั้งโปรตีนเชคนั้นก็ไม่มีไฟเบอร์อีกด้วย สรุปแล้วไม่มีอะไรดีไปกว่าการได้กินอาหารจริงๆ เข้าไปหรอกค่ะ
5.เชื่อมั่นในฉลาก
อย่าเชื่อในทุกๆ สิ่งที่คุณได้อ่าน โดยเฉพาะฉลากที่ติดอยู่ข้างๆ ขวดเครื่องดื่ม เพราะยังมีอีกหลายๆ โรงงานที่ขาดการควบคุมที่เคร่งครัดอยู่ ทางที่ดี ก่อนซื้อควรดูองค์ประกอบหลายๆ อย่างรวมกัน แล้วจึงค่อยตัดสินใจ
6.กินน้อยๆ
คนส่วนมากมักจะกลัวไม่กล้ากินเยอะจนบางครั้งพลังงานที่รับเข้าไปไม่เพียงพอกับ ที่ร่างกายต้องการสําหรับทํากิจกรรมนั้นๆ อย่าลืมสิคะว่า กินน่ะกินได้ แต่ก็อย่าให้มากจนเกินไปนัก เพราะร่างกายจะเผาผลาญไม่ทัน เกิดเป็นไขมันสะสม แล้วต้องมานั่งกลุ้มไดเอ็ทกันใหม่ จะยุ่งเอานะ
7.ออกกําลังกายเท่านั้นคือหนทางการลดอ้วน
ถึงแม้ว่าคุณจะออกกําลังกายบ่อยแค่ไหนก็ตาม แต่หากขาดการวางแผนการกินที่ดีต่อสุขภาพแล้ว การออกกําลังกายที่ทําไปก็ถือว่าสูญเปล่าได้นะ
8.ไม่ควรกินน้ำมากๆ ขณะออกกําลังกาย
ผิดค่ะ การเสียน้ำมากๆ ไม่ดีต่อร่างกายเลยนะคะ โดยเฉพาะเวลาที่กําลังอยู่ในที่ร้อนๆ ฉะนั้น ระหว่างและหลังออกกําลังกายก็อย่าลืมดื่มน้ำเข้าไปให้เพียงพอต่อความต้องการ ของร่างกายด้วยละ
9.ไดเอ็ทแบบอดๆ
แน่นอนค่ะว่าการลดน้ำหนักแบบนี้จะเห็นผลเร็วและง่ายต่อการปฏิบัติด้วย แต่มันก็ไม่ใช่หนทางที่ถูกต้องนัก คุณควรหันกลับมาใช้วิธีแบบเดิมๆ คือควบคุมอาหารและออกกําลังกายควบคู่ไปด้วยจะดีกว่าค่ะ
10.กินโปรตีนเยอะๆ แป้งน้อยๆ
หลายๆ คน อาจจะกําลังฮิตกับการไดเอ็ทประเภทนี้มาก คือ ไม่กินพวกข้าวหรือขนมปังเลย อย่าลืมสิคะว่า คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนก็มีความสําคัญต่อการเจริญเติบโตของกล้ามเนื้อนะ
เมื่อรู้กันอย่างนี้แล้วก็ควรจะเลือกเชื่อความคิดผิด ๆ เหล่านี้นะคะ แล้วทำสิ่งที่ถูกจะดีกว่า...
คนส่วนใหญ่มักจะมีความเชื่อเรื่องอาหารแตกต่างกัน ซึ่งบางทีก็จริงบ้าง ผิดบ้าง วันนี้เลยเอาความเชื่อที่บางคนคิดว่าถูกแต่จริง ๆ แล้วมันผิดมาฝากกัน..
1.งดมื้อเช้า
ถ้าใครกําลังทําอยู่ก็เลิกเสียเถอะค่ะ เพราะมื้อเช้าเป็นมื้อที่สําคัญมาก นอกจากจะเป็นแหล่งพลังงานให้คุณสู้งานได้อย่างไม่มีถอยแล้ว ยังช่วยให้ไม่หิวมากด้วยก่อนที่จะถึงมื้อต่อไป
2.งดกินทุกอย่างก่อนออกกําลังกาย
ไม่ควรค่ะ เพราะร่างกายต้องการพลังงานเพื่อนํามาใช้ในการเคลื่อนไหวส่วนต่างๆ อยู่แล้ว ฉะนั้น ก่อนออกกําลังกายควรกินพวกอาหารที่มีส่วนประกอบของคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน (เพราะมีไฟเบอร์มากและไขมันต่ำด้วย) อย่างโยเกิร์ต นมถั่วเหลือง หรือขนมปังค่ะ
3.หลังออกกําลังกาย
ควรเว้นช่วงนานๆ แล้วจึงค่อยกิน จริงๆ แล้ว ไม่ต้องเว้นไว้นานขนาดนั้นก็ได้ กินหลังจากออกกําลังกายไปแล้ว 1 ชั่วโมงก็โอ.เค.แล้วละ และควรเลือกกินอาหารที่มีโปรตีนและคาร์โบไฮเดรเชิงซ้อนด้วยนะ เพราะจะได้ไปช่วยเร่งอัตราการเผาผลาญและช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้อให้ดีขึ้นค่ะ
4.กินขนมที่มีส่วนประกอบของโปรตีนหรือโปรตีนเชคแทนข้าว
อาหารขบเคี้ยวเหล่านี้ใช่ว่าจะไม่มีแคลอรีหรือไขมันเลยนะคะ อีกทั้งโปรตีนเชคนั้นก็ไม่มีไฟเบอร์อีกด้วย สรุปแล้วไม่มีอะไรดีไปกว่าการได้กินอาหารจริงๆ เข้าไปหรอกค่ะ
5.เชื่อมั่นในฉลาก
อย่าเชื่อในทุกๆ สิ่งที่คุณได้อ่าน โดยเฉพาะฉลากที่ติดอยู่ข้างๆ ขวดเครื่องดื่ม เพราะยังมีอีกหลายๆ โรงงานที่ขาดการควบคุมที่เคร่งครัดอยู่ ทางที่ดี ก่อนซื้อควรดูองค์ประกอบหลายๆ อย่างรวมกัน แล้วจึงค่อยตัดสินใจ
6.กินน้อยๆ
คนส่วนมากมักจะกลัวไม่กล้ากินเยอะจนบางครั้งพลังงานที่รับเข้าไปไม่เพียงพอกับ ที่ร่างกายต้องการสําหรับทํากิจกรรมนั้นๆ อย่าลืมสิคะว่า กินน่ะกินได้ แต่ก็อย่าให้มากจนเกินไปนัก เพราะร่างกายจะเผาผลาญไม่ทัน เกิดเป็นไขมันสะสม แล้วต้องมานั่งกลุ้มไดเอ็ทกันใหม่ จะยุ่งเอานะ
7.ออกกําลังกายเท่านั้นคือหนทางการลดอ้วน
ถึงแม้ว่าคุณจะออกกําลังกายบ่อยแค่ไหนก็ตาม แต่หากขาดการวางแผนการกินที่ดีต่อสุขภาพแล้ว การออกกําลังกายที่ทําไปก็ถือว่าสูญเปล่าได้นะ
8.ไม่ควรกินน้ำมากๆ ขณะออกกําลังกาย
ผิดค่ะ การเสียน้ำมากๆ ไม่ดีต่อร่างกายเลยนะคะ โดยเฉพาะเวลาที่กําลังอยู่ในที่ร้อนๆ ฉะนั้น ระหว่างและหลังออกกําลังกายก็อย่าลืมดื่มน้ำเข้าไปให้เพียงพอต่อความต้องการ ของร่างกายด้วยละ
9.ไดเอ็ทแบบอดๆ
แน่นอนค่ะว่าการลดน้ำหนักแบบนี้จะเห็นผลเร็วและง่ายต่อการปฏิบัติด้วย แต่มันก็ไม่ใช่หนทางที่ถูกต้องนัก คุณควรหันกลับมาใช้วิธีแบบเดิมๆ คือควบคุมอาหารและออกกําลังกายควบคู่ไปด้วยจะดีกว่าค่ะ
10.กินโปรตีนเยอะๆ แป้งน้อยๆ
หลายๆ คน อาจจะกําลังฮิตกับการไดเอ็ทประเภทนี้มาก คือ ไม่กินพวกข้าวหรือขนมปังเลย อย่าลืมสิคะว่า คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนก็มีความสําคัญต่อการเจริญเติบโตของกล้ามเนื้อนะ
เมื่อรู้กันอย่างนี้แล้วก็ควรจะเลือกเชื่อความคิดผิด ๆ เหล่านี้นะคะ แล้วทำสิ่งที่ถูกจะดีกว่า...
ทำไมจึงต้องพับกลีบดอกบัว??
ทำไมคนชอบพับกลีบดอกบัวที่ถวายพระ...?
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เปรียบมนุษย์ดังดอกบัว 4 เหล่า ดังนั้นการที่ชาวพุทธนำดอกบัวไปไหว้พระ หรือถวายพระ ก็เครื่องแสดงการสักการะว่าพร้อมที่จะเป็นบัวที่เบ่งบานพร้อมที่จะเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ในสมัยโบราณจึงนำดอกบัวบานไปถวายพระ ***เน้นว่าเป็นดอกบัวบาน***
เมื่อโลกเปลี่ยนไป การนำดอกบัวบานมาถวายพระทำได้ไม่สะดวกนักในหลายๆ เรื่อง เช่น เรื่องการตลาด (สมัยก่อนไม่ต้องไปซื้อหาดอกบัวที่ไหน ก็เก็บเอาในหนองน้ำ ในบึงข้างบ้านก็ได้แล้ว) อีกทั้งดอกบัวบานจะมีเวลาในการคงอยู่น้อยกว่าดอกบัวตูมหลายๆ คนก็ไม่มีเวลามาเปลี่ยนดอกบัวบ่อยๆ จึงเป็นเหตุให้ดอกบัวตูมมาแทนที่ ดอกบัวบาน ***แล้วคนเราก็พับกลีบดอกบัว หรือจับจีบดอกบัว เพื่อให้เป็นดอกบัวบานไปแทน การพับดอกบัวที่ถูกตามคติธรรม จึงควรพับดอกบัวให้ถึงกลีบสุดท้่าย ถึงใจเกสร***.....
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เปรียบมนุษย์ดังดอกบัว 4 เหล่า ดังนั้นการที่ชาวพุทธนำดอกบัวไปไหว้พระ หรือถวายพระ ก็เครื่องแสดงการสักการะว่าพร้อมที่จะเป็นบัวที่เบ่งบานพร้อมที่จะเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ในสมัยโบราณจึงนำดอกบัวบานไปถวายพระ ***เน้นว่าเป็นดอกบัวบาน***
เมื่อโลกเปลี่ยนไป การนำดอกบัวบานมาถวายพระทำได้ไม่สะดวกนักในหลายๆ เรื่อง เช่น เรื่องการตลาด (สมัยก่อนไม่ต้องไปซื้อหาดอกบัวที่ไหน ก็เก็บเอาในหนองน้ำ ในบึงข้างบ้านก็ได้แล้ว) อีกทั้งดอกบัวบานจะมีเวลาในการคงอยู่น้อยกว่าดอกบัวตูมหลายๆ คนก็ไม่มีเวลามาเปลี่ยนดอกบัวบ่อยๆ จึงเป็นเหตุให้ดอกบัวตูมมาแทนที่ ดอกบัวบาน ***แล้วคนเราก็พับกลีบดอกบัว หรือจับจีบดอกบัว เพื่อให้เป็นดอกบัวบานไปแทน การพับดอกบัวที่ถูกตามคติธรรม จึงควรพับดอกบัวให้ถึงกลีบสุดท้่าย ถึงใจเกสร***.....
นิทานเรื่องกบฟุ้งซ่าน
มาอ่านนิทานดีๆ มีสาระ เรื่อง กบฟุ้งซ่าน...ข้างกำแพงวัด กันเถอะ
กบ ฟุ้งซ่านตัวหนึ่งนั่งอยู่ข้างกำแพงวัด ทุกเช้ามันเฝ้าดูพระออกเดินบิณฑบาตตั้งแต่เช้ามืด
พอพระกลับมา ถึงวัดเพื่อฉันเช้า...
กบมันนึกในใจ อยากเกิดเป็นพระ เป็น พระสบายดี มีคนถวายอาหารให้กินทุกวัน ..
เมื่อพระฉันเสร็จ ก็นำอาหารที่เหลือมากมายนั้นไปให้เด็กวัดกินต่อ แล้วเด็กวัดก็กินกันอย่างเอร็ดอร่อย
ตอนนี้กบเปลี่ยนใจอยากเกิดเป็นเด็กวัด แล้ว เพราะสบายกว่าพระ
มันเห็นเด็กวัดหลายคนตื่นสายได้และไม่ต้องออกตามพระไปบิณฑบาตก็ได้ สบายกว่าเยอะเลย
เมื่อเด็กวัดกินเสร็จ ก็โกยเศษอาหารที่เหลือทั้งหมดให้หมาวัดไปกินแล้วเด็กวัดทุกคนก็ไปช่วยกันล้างจาน
ถึงตอนนี้กบเปลี่ยนใจ อยากเกิดเป็นหมาวัดแล้วเพราะไม่ต้องล้างจานเหมือนเด็กวัด สบายกว่า...
พอหมาวัดกินอาหารเสร็จก็แยกย้ายไปทำหน้าที่เฝ้าบริเวณวัด คอยเห่าคนแปลกหน้า...
ฝูงแมลงวันก็บินมาตอมและกินเศษอาหารต่อจากหมาวัด
ถึงตอนนี้ กบเปลี่ยนใจ(อีกแล้ว) อยากเกิดเป็นแมลงวัน เพราะสบายที่สุดไม่ต้องทำอะไรเลย
หนำซ้ำยัง มีกองอาหารให้กินไม่มีหมดด้วย...
ขณะที่เจ้ากบฟุ้งซ่านกำลังคิดเพลินๆอยู่นั้น พอดีหันมาเห็นแมลงวันบินมาใกล้ๆ
จึงใช้ลิ้นตวัดเอาแมลงวัน เข้าปากตัวเองกินโดยสัญชาตญาณ ..
ถึงตอนนี้ กบฟุ้งซ่าน จึงบรรลุธรรมฉับพลัน (Sudden knowledge)
คิดได้ว่า เอ้อ เป็นตัวของเราเองนี่แหละ ดีที่สุดเลย (The best to be yourself)
จงเชื่อมั่นในตัวเอง (Be yourself)
กบ ฟุ้งซ่านตัวหนึ่งนั่งอยู่ข้างกำแพงวัด ทุกเช้ามันเฝ้าดูพระออกเดินบิณฑบาตตั้งแต่เช้ามืด
พอพระกลับมา ถึงวัดเพื่อฉันเช้า...
กบมันนึกในใจ อยากเกิดเป็นพระ เป็น พระสบายดี มีคนถวายอาหารให้กินทุกวัน ..
เมื่อพระฉันเสร็จ ก็นำอาหารที่เหลือมากมายนั้นไปให้เด็กวัดกินต่อ แล้วเด็กวัดก็กินกันอย่างเอร็ดอร่อย
ตอนนี้กบเปลี่ยนใจอยากเกิดเป็นเด็กวัด แล้ว เพราะสบายกว่าพระ
มันเห็นเด็กวัดหลายคนตื่นสายได้และไม่ต้องออกตามพระไปบิณฑบาตก็ได้ สบายกว่าเยอะเลย
เมื่อเด็กวัดกินเสร็จ ก็โกยเศษอาหารที่เหลือทั้งหมดให้หมาวัดไปกินแล้วเด็กวัดทุกคนก็ไปช่วยกันล้างจาน
ถึงตอนนี้กบเปลี่ยนใจ อยากเกิดเป็นหมาวัดแล้วเพราะไม่ต้องล้างจานเหมือนเด็กวัด สบายกว่า...
พอหมาวัดกินอาหารเสร็จก็แยกย้ายไปทำหน้าที่เฝ้าบริเวณวัด คอยเห่าคนแปลกหน้า...
ฝูงแมลงวันก็บินมาตอมและกินเศษอาหารต่อจากหมาวัด
ถึงตอนนี้ กบเปลี่ยนใจ(อีกแล้ว) อยากเกิดเป็นแมลงวัน เพราะสบายที่สุดไม่ต้องทำอะไรเลย
หนำซ้ำยัง มีกองอาหารให้กินไม่มีหมดด้วย...
ขณะที่เจ้ากบฟุ้งซ่านกำลังคิดเพลินๆอยู่นั้น พอดีหันมาเห็นแมลงวันบินมาใกล้ๆ
จึงใช้ลิ้นตวัดเอาแมลงวัน เข้าปากตัวเองกินโดยสัญชาตญาณ ..
ถึงตอนนี้ กบฟุ้งซ่าน จึงบรรลุธรรมฉับพลัน (Sudden knowledge)
คิดได้ว่า เอ้อ เป็นตัวของเราเองนี่แหละ ดีที่สุดเลย (The best to be yourself)
จงเชื่อมั่นในตัวเอง (Be yourself)
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)