สาเหตุที่ทำให้ สุขภาพช่องปากของคุณย่ำแย่
1.เครื่องดื่มเกลือแร่
ปัจจุบันเครื่องดื่มประเภทเกลือแร่ ที่ช่วยทดแทนการสูญเสียเหงื่อจากการออกกำลังกาย มีจำหน่ายมากมายหลากหลายยี่ห้อ ซึ่งก็มิใช่แค่พ่อหนุ่มนักกีฬาเท่านั้นที่นิยม สาวเราบางคนเมื่อรู้สึกอ่อนเพลีย ก็ซื้อหามาดื่มหวังสร้างความกระปรี้กระเปร่าอยู่เป็นประจำ แต่ทราบหรือไม่ว่า เครื่องดื่มประเภทนี้ ไม่ดีต่อฟันเอาซะเลย ทั้งนี้เพราะมีผลการวิจัย ออกมายืนยันว่า เครื่องดื่มเกลือแร่เหล่านี้ มักมีค่าความเป็น กรด อยู่ในระดับสูง ซึ่งกรดเหล่านี้ สามารถส่งผลให้ผิวฟันผุกร่อนได้ง่ายๆ นอกจากนี้น้ำตาลที่มีอยู่ในเครื่องดื่มนี้ เมื่อสะสมเป็นระยะเวลานาน ยังก่อให้เชื้อ แบคทีเรีย (Bacteria) ซึ่งเป็นสาเหตุให้ ฟัน เปราะ แตกหักง่าย และเกิดภาวะร่องเหงือกอักเสบ ได้อีกด้วย "การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ พบว่า เครื่องดื่มเกลือแร่สำหรับผู้สูญเสียเหงื่อจากการเล่นกีฬา อาจนำไปสู่การพังทลายของฟัน เนื่องมาจากกรด ซึ่งมีความเข้มข้นสูง ที่มีอยู่ในเครื่องดื่มนั้น เข้าไปทำลายเคลือบผิวฟัน” David F. Halpern ประธานสถาบันทันตกรรม แห่งสหรัฐอเมริกา ระบุ
2. การแปรงฟันผิดเวลา
หลายท่านเคยชิน ทานอาหารเสร็จปุ๊บ ต้องรีบเข้าห้องน้ำแปรงฟันปั๊บ เพื่อหวังกำจัดเชื่อแบคทีเรีย เป็นอีกหนทางในการป้องกันฟันผุ แต่ในความจริงแล้ว การแปรงฟันหลังอาหารทุกมื้อ อาจไม่ได้ส่งผลดีต่อสุขภาพฟันเสมอไป หากมื้อนั้นคุณรับประทาน อาหารที่มีกรดสูง เช่น ไวน์ , กาแฟ , น้ำอัดลม หรือผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว ทั้งนี้เพราะ อาหารที่มีกรดสูง เมื่อเรารับประทานเข้าไป กรดของมันจะเข้าไปทำลายเคลือบฟันมากอยู่แล้ว หากยิ่งไปขัดถู แปรงฟันเข้าอีก เคลือบฟันก็จะยิ่งสึกกร่อนและถูกทำลายมากเข้าไปใหญ่ ฉะนั้นแนะนำว่า หลังทานอาหารที่มีกรดสูงเข้าไป ให้กลั้วปากด้วยน้ำเปล่าไปก่อน จากนั้นรอสัก 1 ชั่วโมงแล้วค่อยแปรงฟัน เช่นนั้นจะส่งผลดีต่อฟันมากกว่าค่ะ
3.นิยมจิบไวน์
“ไวน์” (wine) เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (Alcohol) ที่หลายคนติดอกติดใจนี่แหละค่ะ ที่เป็นอีกสาเหตุหนึ่ง ซึ่งทำให้ฟันผุ เพราะกรดที่มีอยู่ในไวน์นั้น สามารถทำให้เคลือบฟันของเราค่อยๆ เสื่อมสภาพลง ฉะนั้นสำหรับผู้ชื่นชอบการจิบไวน์ แต่อยากลดความเสี่ยงเรื่องภาวะฟันผุ David F. Halpern แนะนำว่า ควรจิบไวน์แต่พอควร จิบเรื่อยๆ ทีละนิด หลังจิบแล้วก็ดื่มน้ำเปล่าเข้าไปสักหน่อย เพื่อให้น้ำเปล่าช่วยชำละล้างกรดในไวน์ ไม่ให้ทำลายเคลือบฟันได้มากนัก รวมถึงรับประทานไวน์ คู่กับอาหารที่อุดมด้วยแคลเซียม (Calcium) เช่น ดื่มไวน์ขาว คู่กับ ชีส (chese) หรือรับประทานอาหารอย่างอื่นเป็นกับแกล้ม ระหว่างจิบไวน์ไปด้วย เพราะน้ำลายที่เกิดจากการเคี้ยวอาหารจะช่วยให้กรดในไวน์เจือจางได้
4.ทานยาลดน้ำหนัก
เชื่อว่าหลายคน คงได้ยินกันมาบ่อยแล้ว สำหรับเรื่องผลข้างเคียงของยาลดน้ำหนัก ที่อาจส่งผลต่อประสาท ทานแล้วเบลอ หรือพอเลิกทานน้ำหนักก็กลับมามากขึ้นอีกเป็นทวีคูณ ฯลฯ นอกจากผลข้างเคียงที่คุ้นหูนั้น ยังมีอีกอย่างที่คุณอาจไม่ทราบนั่นคือ ยาลดน้ำหนัก ก็สามารถเพิ่มความเสี่ยงทำให้คุณเป็นโรคเหงือก และฟันผุได้ด้วย เพราะยาลดความอ้วนส่วนใหญ่ มักส่งผลให้ต่อมน้ำลาย ผลิตน้ำลายน้อยลง ซึ่งเมื่อน้ำลายในปากน้อยลง เชื้อแบคทีเรีย ที่มีอยู่ในช่องปากก็จะทำลายเหงือกและฟันของคุณได้มากขึ้น จนนำไปสู่อาการฟันผุ สุขภาพช่องปากย่ำแย่ ฉะนั้นการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ คู่ไปกับการควบคุมอาหาร จึงเป็นหนทางที่ปลอดภัยที่สุด ที่นอกจากจะทำให้คุณลดน้ำหนักได้อย่างปลอดภัยแล้ว ยังปกป้องร้อยยิ้มสวยๆ ของคุณไว้ได้อีกต่า
5. ดื่มชา - กาแฟ
เครื่องดื่มร้อนๆ หอมกรุ่น อย่าง ชา - กาแฟ ที่สาวเราชอบดื่มกัน นอกจากจะทำให้เกิดคราบไม่น่ามองที่ฟันแล้ว สารแทนนิน (tannin) ในชา - กาแฟ ยังส่งผลต่อผิวฟัน ทำให้ผุกร่อนง่ายอีกด้วย ดังนั้นนอกจากจะแนะนำให้ดื่มชา กาแฟ แต่พอดีแล้ว หลังดื่มเสร็จ ควรกลั้วน้ำเปล่าเสียหน่อยเพื่อช่วยเจือจาง สารแทนนิน มิให้ทำลายผิวฟัน และถ้าจะให้ดีควรเพิ่มนม ลงไปในชา หรือกาแฟด้วย “สารแทนนิน ใน ชาดำ และกาแฟ จะเข้าไปทำลายผิวเคลือบฟัน , ทั้งยังทำให้เกิดเป็นคราบฝังแน่นที่ผิวฝันอีกด้วย ฉะนั้นจึงแนะนำว่า ควรบริโภคเครื่องดื่มเหล่านี้อย่างพอเหมาะ และควรเพิ่มนม ลงในชา หรือกาแฟ ของคุณเพื่อช่วยต่อต้านกรดที่มีในชา และกาแฟเหล่านั้นด้วย” ประธานสถาบันทันตกรรม David F. Halpern ให้ข้อมูล
6. อดอาหาร ลดน้ำหนัก
เมื่ออยู่ในช่วงไดเอท (diet) บางคนตั้งหน้าตั้งตา จำกัดอาหาร หวังลดน้ำหนัก ควบคุมสัดส่วนให้สวยนิ้ง จนลืมคิดไปว่า การที่คุณสาวๆ รับประทานอาหารน้อยลงนั้น เป็นสาเหตุให้คุณขาดวิตามิน และแร่ธาตุที่สำคัญต่อเหงือก และ ฟัน ทั้ง โฟเลต (Folate) , วิตามินดี (Vitamin D) , โปรตีน (Protein) , แคลเซียม , วิตามินซี (Vitamin C) ฯลฯ นอกจากนี้พฤติกรรมการรับประทานน้อย ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ยังส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายต่ำลง จนอาจเกิดการติดเชื้อที่เหงือก และช่องปากได้ง่ายขึ้นอีกด้วย
7.ทานยาคุมกำเนิด
เกิดเป็นผู้หญิง ไม่ใช่เรื่องง่ายจริงๆ เพราะยาคุมกำเนิด ที่สาวมีคู่แล้ว ต้องรับประทานเพื่อคุมกำเนิดเนี้ย ส่งผลต่อการรักษาโรคเหงือก และฟัน ที่จะทำได้ยากขึ้น ทั้งนี้ มีการศึกษายืนยันว่า ผู้หญิงที่รับประทานยาคุมกำเนิด หากพวกเธอเกิดภาวะฟันผุ แล้วต้องไปถอนฟันนั้น มีแนวโน้มว่า ผู้หญิงกลุ่มนี้ จะเกิดภาวะการติดเชื้อ ที่เหงือกมากกว่าคนทั่วไป (ผู้ไม่รับประทานยาคุมกำเนิด) ถึง 2 เท่า ฉะนั้นหากคุณยังต้องรับประทานยาคุมกำเนิดจริงๆ แนะนำว่า ควรปรึกษากับทันตแพทย์ อย่างสม่ำเสมอ เพื่อคอยระมัดระวัง สอดส่องผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้น
8.ฮอร์โมนในช่วงวัยรุ่น เพิ่มความเสี่ยง โรคเหงือก
เป็นอีกเรื่องที่ต้องเตือนกันไว้ สำหรับ หนุ่ม-สาว แรกรุ่น ที่นอกจากเราจะทราบกันดี ว่าเมื่อ ฮอร์โมน (Hormone) ในช่วงวัยรุ่นพุ่งพล่าน นอกจากจะทำให้เกิดสิว หน้ามัน ฯลฯ แล้ว ยังสามารถทำให้เกิดภาวะเหงือกบวม และมีความเสี่ยงที่จะเกิดการติดเชื้อที่เหงือก เกิดโรคเหงือกอักเสบ และแผลในปากได้ง่ายขึ้น แต่ทั้งนี้ หากดูแลสุขอนามัยภายในช่องปากให้ดี แปรงฟันอย่างสม่ำเสมอ และพบแพทย์เป็นประจำ ก็จะสามารถลดความเสี่ยงในเรื่องนี้ได้ค่ะ
9. การฟอกฟัน ให้ขาว
แม้ยังไม่ชัดเจนว่า การฟอกฟันขาวจะทำลายผิวฟัน แต่ก็มีงานวิจัยหลายชิ้น ที่ระบุว่า การฟอกฟันเพื่อให้ขาวใสนั้น สามารถส่งผลให้ผิวฟันบอบบาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทำบ่อยเกินไป ! ฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นการตัดสินใจฟอกสีฟันตามคลินิก(clinic) , ใช้เจลฟอกสีฟันด้วยตัวเองที่บ้าน หรือแม้กระทั่งใช้ยาสีฟันไวท์เทนนิ่ง (Whitening) ที่อาจมีฤทธิ์ในการกัดกร่อนผิวฟัน ควรพิจารณาให้ถ้วนถี่ และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเสมอจ้า
10.อายุเพิ่ม กระดูก - ฟัน ยิ่งอ่อนแอ
เป็นเรื่องธรรมดา ที่ต้องเตรียมใจค่ะ เมื่ออายุเพิ่มขึ้น กระดูก และฟัน ของเราย่อมเสื่อมไปตามกาลเวลา แม้เรื่องอายุจะหยุดยั้งไม่ได้ แต่คุณก็สามารถช่วยบรรเทา ความสึกหลอของฟันได้ ทั้งการรับประทานอาหารที่เปี่ยมไปด้วยแคลเซียม รวมถึงใช้ ยาสีฟัน ที่มีส่วนผสมของ ฟลูออไรด์ (fluoride) อย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันฟันผุ
"ผู้สูงอายุที่แปรงอย่างสม่ำเสมอด้วยยาสีฟันฟลูออไรด์ หรือบ้วนปากด้วยฟลูออไรด์ อย่างสม่ำเสมอ จะมีฟันผุน้อยกว่า ผู้ที่ไม่ได้ใช้ฟลูออไรด์”