วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ฟังไว้ใส่ชุดชั้นในผิดวิธีอาจเกิดโรคได้

คงไม่มีใครคาดถึงแน่ๆ ถ้าจะบอกว่า ภัยร้ายใกล้ตัวที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพของผู้หญิงได้นั้นจะเกิดขึ้นจาก “ชุดชั้นใน” … ใครจะคิดว่าชุดนั้นในที่เราสวมใส่อยู่ทุกวันนั้นจะก่อให้เกิดผลเสียที่ร้านแรงต่อสุขภาพได้จริงไหมล่ะคะ

ไม่เชื่อก็คงจะต้องเชื่อจริงๆ เพราะไม่ว่าจะเป็น เสื้อชั้นใน กางเกงใน หรือสเตย์รัดหน้าท้อง หากไม่รู้จักวิธีการเลือกที่ถูกวิธี เมื่อสวมใส่แล้วก็อาจจะส่งผลต่อสุขภาพได้โดยที่เราไม่รู้ตัวเลยทีเดียว!!!





สายชุดชั้นใน : ชุดชั้นในที่ถูกปรับสายจนรัดเนื้อตึงเกินไปจะไปรั้งช่วงไหล่ ทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก สาวๆ ที่ใส่เสื้อชั้นในรั้งเกินไปจึงอาจจะมีโรคปวดหัวเรื้อรัง หรือเป็นไมเกรนตามมา ต้องวิ่งหาหมอหาสาเหตุกันให้วุ่นวาย จริงๆ แล้วก็มีสาเหตุมาจากสายเสื้อชั้นในที่รั้งเกินไปนั่นเองล่ะค่ะ

จีสตริง : กางเกงในจีสตริงเป็นกางเกงที่ไม่ควรใส่เลยสำหรับคนที่รักสุขภาพ เพราะความสวยที่ได้ไม่คุ้มกับโรคร้ายๆ ที่จะตามมา เนื่องจากสายกางเกงในทีเล็กมากๆ แต่รัดสุดๆ จะไปทำให้เนื้อเยื่อบริเวณง่ามก้นระคายเคืองหรือเสียดสีจนเป็นแผล และถ้าดูแลความสะอาดไม่ดีพอ จุดซ่อนเร้นของสาวๆ ก็อาจจะอักเสบและติดเชื้อได้ อันตรายไม่น้อยเลยนะคะเนี่ย

บรารัดแน่นเกินไป : สาวๆ ไม่ควรลืมให้ความกับการคำนึงถึงรอบตัวในการเลือกบรา เพราะถ้าหากบรามีรอบตัวคับเกินไปแรงกดที่รัดแน่นตลอดเวลาติดต่อกันนานๆ จะไปทำร้ายต่อมน้ำเหลือง ทำให้เลือดและน้ำเลือดคั่งอยุ่ข้างใน จากนั้นสิ่งที่จะตามมาคือมะเร็งเต้านมที่สาวๆ กลัวกันนัก นอกจากนี้การใส่บราเล็กเกินไปยังจะทำให้ระบบหายใจติดขัด เหนื่อยง่าย หายใจได้ไม่เต็มปอด เดินช้อปปิ้งไม่กี่โลก็หน้ามืดแล้ว

บราเนื้อแข็ง : เนื้อผ้าของเสื้อชั้นในควรจะลื่น นิ่ม ไม่ระคายเคืองผิว ถ้าหากใส่แล้วรู้สึกคันควรจะเลิกใส่เสื้อในตัวนั้นทันที เพราะอาจจะยังซักไม่สะอาดหรือมีสารฟอกสีที่เป็นอันตรายตกค้างอยู่ และสำหรับสาวๆ ที่ทาโลชั่นบำรุงผิวก็ควรงดทาบริเวณเต้านมด้วย เพื่อไม่ให้เกิดการหมักหมมหลังจากที่ใส่บราทับลงไป

ใส่ชุดชั้นในซ้ำ : ถึงแม้ว่าชุดชั้นในของเราจะยังดูสะอาดดี แต่ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่มีเชื้อโรค หลังจากใส่มาแล้วทั้งวันอย่างน้อยๆ ก็ต้องมีเชื้อแบคทีเรียหมักหมมอยู่บ้าง โดยเฉพาะชุดชั้นในที่เปียกเหงื่อยิ่งอาจจะมีเชื้อรา ทำให้บริเวณจุดซ่อนเร้นสามารถติดเชื้อได้ง่ายๆ

ใส่สเตย์ตลอดเวลา : สาวๆ ที่ใส่สเตย์รัดหน้าท้องจะรู้สึกได้เลยว่าหายใจไม่ค่อออก ยิ่งถ้าใส่ทุกวันจะเกิดการเจ็บป่วยตามมามากมาย โรคแรกที่มาแน่ๆ ได้แก่ โรคในกระเพาะกับลำไส้ เพราะเป็นอวัยวะที่ได้รับผลกระทบโดยตรง อาจจะท้องผูก ระบบย่อยไม่ดี เป็นโรคกระเพาะ หรือมีแผลในกระเพาะอาหารจากนั้นก็จะมีโรคปวดหลัง กล้ามเนื้อหลังไม่แข็งแรง ปวดประจำเดือนมากกว่าปกติ เส้นเลือดอุดตัน ระบบไหลเวียนโลหิตมีปัญหา การใส่เสตย์จึงควรใส่เฉพาะเวลาจำเป็นจริงๆ อย่างเวลาไปงานเลี้ยง และพอกลับถึงบ้านก็ควรรีบถอดให้เร็วที่สุด


ช่วงนี้อากาศค่อนข้างชื้น ฝนตกเกือบทุกวัน มีน้องๆ หลายคนบ่นว่าเริ่มไม่สบายเป็นหวัดกันเป็นแถว บางคนถ้าไม่ได้ป่วยมากก็มักจะซื้อยามากินเอง แต่ถ้าอาการหนักหน่อยก็ต้องไปพบแพทย์เพื่อตรวจอาการให้ละเอียด ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วถ้าเป็นแค่ไข้หวัดธรรมดา คุณหมอก็มักจะให้ยามากินโดยมักจะบอกให้กินให้ต่อเนื่องจนครบตามที่คุณหมอให้ไป และหลังจากกินยาควรดื่มน้ำตามมากๆ


ทำไมคุณหมอถึงต้องกำชับให้เราดื่มตามมากๆ หลังจากกินยา ... มีกรณีศึกษาที่น่าสนใจเกี่ยวกับพฤติกรรมการกินยาที่ไม่ถูกต้องซึ่งเป็นต้นเหตุทำให้เกิดอาการ "ยาแตกตัวในหลอดอาหาร" โดยอาการผิดปกตินี้เกิดขึ้นกับผู้ประกาศข่าวชื่อดัง "ไก่ ภาษิต" ซึ่งเจ้าตัวได้เล่าถึงอาการดังกล่าวที่เกิดขึ้นผ่านรายการเรื่องเล่าเสาร์อาทิตย์ว่าตนเคยมีอาการเจ็บคอโดยไม่มีสาเหตุ เวลาหายใจลึกๆ จะเจ็บคอมาก ตอนแรกคิดว่าตนเองเป็นโรคกรดไหลย้อน พอเริ่มมีอาการหนักขึ้นจึงไปหาหมอเพื่อทำการวินิจฉัยหาสาเหตุที่แท้จริง ซึ่งปรากฏว่าคุณหมอได้ตรวจพบแผลบริเวณรอบๆ หลอดอาหาร โดยมีลักษณะเป็นผื่นสีแดงเป็นจ้ำๆ

ผู้ประกาศชื่อดังเล่าต่อว่า อาการดังกล่าวนั้นเกิดจากการที่ในช่วงที่ผ่านมาเขามีอาการป่วยเป็นไข้หวัดธรรมดาแล้วไม่ได้ไปหาหมอแต่หายามากินเอง โดยเวลาที่กินยานั้นบางครั้งก็ไม่ได้ดื่มน้ำตามเพราะคิดว่าเดี๋ยวยาก็ไปละลายในกระเพาะเอง ซึ่งนั่นเป็นความคิดที่ผิดมากๆ
เพราะการกินยาโดยที่ไม่ดื่มน้ำตามทำให้ยาไปติดอยู่ที่ตรงหลอดอาหาร ซึ่งอยู่กึ่งกลางระหว่างคอหอยกับกระเพาะอาหาร พอยาไปติดอยู่บริเวณดังกล่าวก็จะไปกัดทำให้หลอดอาหารเกิดแผล พอเกิดแผลมากๆ คนที่กินยาจะรู้สึกเลยว่าร้อน แน่นหน้าอก ซึ่งโดยส่วนใหญ่มักจะเกิดจากการกินยา 2 ประเภท คือ ยาที่เป็นกรด ประเภทวิตามินซี และยาที่เป็นพวกแคปซูลเหนียวๆ จะมีปัญหาติดหลอดลมมาก

ดังนั้น พี่เหมี่ยวจึงขอแนะนำวิธีกินยาที่ถูกต้องก็คือ จะต้องดื่มน้ำตามเยอะๆ หลังจากที่กินยา และรอประมาณครึ่งชั่วโมงก่อนล้มตัวลงนอน เพื่อให้มั่นใจว่ายาที่กินเข้าไปผ่านไปยังกระเพาะอาหาร เพราะยาบางอย่างเวลาดื่มน้ำตามเยอะเราจะรู้สึกเลยว่ามันจะไหลจากคอลงไปท้อง แต่ถ้าเรากินน้ำน้อยบางทีจะไม่รู้สึก จำไว้นะคะว่าการที่เรารู้สึกว่ายาหายจากคอไป ไม่ได้หมายความว่ายาลงไปที่กระเพาะอาหาร ซึ่งจริงๆ มันอาจจะไปติดอยู่ที่หลอดอาหารก็ได้
นอกจากนี้พฤติกรรมการกินยาที่ถูกต้องอีกอย่างหนึ่งก็คือ สำหรับการกินยาก่อนนอน หลังจากกินยาแล้วอย่าเพิ่งเอนตัวลงนอนทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคนที่มีภาวะกรดไหลย้อน ถ้ายาไปอยู่ตรงหลอดอาหารพอดีก็จะทำให้เกิดแผล จนแผลทะลุ ถ้าเป็นแผลเรื้อรังนานๆ อาจเป็นมะเร็งได้

วันจันทร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

อันตรายของปากกาเคมี




เคยสังเกตเวลาใช้ปากกาไวท์บอร์ดหรือปากกาเคมีมั้ยคะว่ามีกลิ่นฉุนของสารเคมีออกมาเวลาที่เขียนด้วยรึเปล่า ถ้ามีขอแนะนำให้เปลี่ยนมาใช้ตราม้าดีกว่าค่ะ เพราะกลิ่นที่ว่านั้นคือสารเคมีที่เรียกว่า "ไซลีน”สารไซลีนใช้เป็นทินเนอร์หรือสารละลายในหมึก ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในอุตสาหกรรมหลายประเภท เช่น อุตสาหกรรมผลิตสี อุตสาหกรรมงานพิมพ์ โรงงานทำเฟอร์นิเจอร์ไม้ อู่เคาะพ่นสี ฯลฯ
สารไซลีน สามารเข้าสู่ร่างกายคนเราได้ทางผิวหนังและการหายใจ เมื่อผ่านเข้าทางผิวหนังจะ่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนัง อย่างรุนแรง ส่วนการหายใจเข้าสู่ร่างกาย จะถูกส่งไปยังปอด ผ่านเข้าสู่ระบบหมุนเวียนโลหิต ส่งผลต่อร่างกายได้หลายระดับ ตามปริมาณที่รับเข้าไป เช่น ทำให้มึนงง ปวดศีรษะ คลื่นเหียนอาเจียน เกิดการเสียวคอและหน้าอก เกิดการระคายเคืองตาและระบบทางเดินหายใจ ไอและน้ำมูกไหล นอกจากนี้การรับสารไซลีน ในปริมาณไม่มากต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานาน ก็สามารถส่งผลเสียต่อร่างกายได้เช่นกัน การสูดไอเคมีเข้าไปเรื่อยๆ จะไปกระตุ้นและกดระบบประสาทส่วนกลาง เช่น เกิดอาการชา สั่นกระตุก หวาดกลัว ความจำเสื่อม อ่อนเพลีย จิตใจกระวนกระวาย ทรงตัวลำบาก เบื่ออาหาร คลื่นเหียน และท้องอืด
ดังนั้น ก่อนที่จะเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารเคมีอย่าง ปากกาไวท์บอร์ด หรือ ปากกาเคมี ควรสังเกตฉลากด้านข้าง อย่างละเอียดว่า มีเครื่องหมายรับรองความปลอดภัยอย่างเครื่องหมาย AP และ CE หรือไม่ สิ่งเล็กน้อยเหล่านี้จะละเลยไม่ได้ เพื่อสุขภาพที่ดีของตัวเราเอง

10 สาเหตุใกล้ตัวที่ไม่น่าเชื่อว่าจะทำคุณฟันเหลือง-ปากเหม็น

สาเหตุที่ทำให้ สุขภาพช่องปากของคุณย่ำแย่

1.เครื่องดื่มเกลือแร่

ปัจจุบันเครื่องดื่มประเภทเกลือแร่ ที่ช่วยทดแทนการสูญเสียเหงื่อจากการออกกำลังกาย มีจำหน่ายมากมายหลากหลายยี่ห้อ ซึ่งก็มิใช่แค่พ่อหนุ่มนักกีฬาเท่านั้นที่นิยม สาวเราบางคนเมื่อรู้สึกอ่อนเพลีย ก็ซื้อหามาดื่มหวังสร้างความกระปรี้กระเปร่าอยู่เป็นประจำ แต่ทราบหรือไม่ว่า เครื่องดื่มประเภทนี้ ไม่ดีต่อฟันเอาซะเลย ทั้งนี้เพราะมีผลการวิจัย ออกมายืนยันว่า เครื่องดื่มเกลือแร่เหล่านี้ มักมีค่าความเป็น กรด อยู่ในระดับสูง ซึ่งกรดเหล่านี้ สามารถส่งผลให้ผิวฟันผุกร่อนได้ง่ายๆ นอกจากนี้น้ำตาลที่มีอยู่ในเครื่องดื่มนี้ เมื่อสะสมเป็นระยะเวลานาน ยังก่อให้เชื้อ แบคทีเรีย (Bacteria) ซึ่งเป็นสาเหตุให้ ฟัน เปราะ แตกหักง่าย และเกิดภาวะร่องเหงือกอักเสบ ได้อีกด้วย "การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ พบว่า เครื่องดื่มเกลือแร่สำหรับผู้สูญเสียเหงื่อจากการเล่นกีฬา อาจนำไปสู่การพังทลายของฟัน เนื่องมาจากกรด ซึ่งมีความเข้มข้นสูง ที่มีอยู่ในเครื่องดื่มนั้น เข้าไปทำลายเคลือบผิวฟัน” David F. Halpern ประธานสถาบันทันตกรรม แห่งสหรัฐอเมริกา ระบุ

2. การแปรงฟันผิดเวลา

หลายท่านเคยชิน ทานอาหารเสร็จปุ๊บ ต้องรีบเข้าห้องน้ำแปรงฟันปั๊บ เพื่อหวังกำจัดเชื่อแบคทีเรีย เป็นอีกหนทางในการป้องกันฟันผุ แต่ในความจริงแล้ว การแปรงฟันหลังอาหารทุกมื้อ อาจไม่ได้ส่งผลดีต่อสุขภาพฟันเสมอไป หากมื้อนั้นคุณรับประทาน อาหารที่มีกรดสูง เช่น ไวน์ , กาแฟ , น้ำอัดลม หรือผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว ทั้งนี้เพราะ อาหารที่มีกรดสูง เมื่อเรารับประทานเข้าไป กรดของมันจะเข้าไปทำลายเคลือบฟันมากอยู่แล้ว หากยิ่งไปขัดถู แปรงฟันเข้าอีก เคลือบฟันก็จะยิ่งสึกกร่อนและถูกทำลายมากเข้าไปใหญ่ ฉะนั้นแนะนำว่า หลังทานอาหารที่มีกรดสูงเข้าไป ให้กลั้วปากด้วยน้ำเปล่าไปก่อน จากนั้นรอสัก 1 ชั่วโมงแล้วค่อยแปรงฟัน เช่นนั้นจะส่งผลดีต่อฟันมากกว่าค่ะ

3.นิยมจิบไวน์

“ไวน์” (wine) เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (Alcohol) ที่หลายคนติดอกติดใจนี่แหละค่ะ ที่เป็นอีกสาเหตุหนึ่ง ซึ่งทำให้ฟันผุ เพราะกรดที่มีอยู่ในไวน์นั้น สามารถทำให้เคลือบฟันของเราค่อยๆ เสื่อมสภาพลง ฉะนั้นสำหรับผู้ชื่นชอบการจิบไวน์ แต่อยากลดความเสี่ยงเรื่องภาวะฟันผุ David F. Halpern แนะนำว่า ควรจิบไวน์แต่พอควร จิบเรื่อยๆ ทีละนิด หลังจิบแล้วก็ดื่มน้ำเปล่าเข้าไปสักหน่อย เพื่อให้น้ำเปล่าช่วยชำละล้างกรดในไวน์ ไม่ให้ทำลายเคลือบฟันได้มากนัก รวมถึงรับประทานไวน์ คู่กับอาหารที่อุดมด้วยแคลเซียม (Calcium) เช่น ดื่มไวน์ขาว คู่กับ ชีส (chese) หรือรับประทานอาหารอย่างอื่นเป็นกับแกล้ม ระหว่างจิบไวน์ไปด้วย เพราะน้ำลายที่เกิดจากการเคี้ยวอาหารจะช่วยให้กรดในไวน์เจือจางได้

4.ทานยาลดน้ำหนัก

เชื่อว่าหลายคน คงได้ยินกันมาบ่อยแล้ว สำหรับเรื่องผลข้างเคียงของยาลดน้ำหนัก ที่อาจส่งผลต่อประสาท ทานแล้วเบลอ หรือพอเลิกทานน้ำหนักก็กลับมามากขึ้นอีกเป็นทวีคูณ ฯลฯ นอกจากผลข้างเคียงที่คุ้นหูนั้น ยังมีอีกอย่างที่คุณอาจไม่ทราบนั่นคือ ยาลดน้ำหนัก ก็สามารถเพิ่มความเสี่ยงทำให้คุณเป็นโรคเหงือก และฟันผุได้ด้วย เพราะยาลดความอ้วนส่วนใหญ่ มักส่งผลให้ต่อมน้ำลาย ผลิตน้ำลายน้อยลง ซึ่งเมื่อน้ำลายในปากน้อยลง เชื้อแบคทีเรีย ที่มีอยู่ในช่องปากก็จะทำลายเหงือกและฟันของคุณได้มากขึ้น จนนำไปสู่อาการฟันผุ สุขภาพช่องปากย่ำแย่ ฉะนั้นการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ คู่ไปกับการควบคุมอาหาร จึงเป็นหนทางที่ปลอดภัยที่สุด ที่นอกจากจะทำให้คุณลดน้ำหนักได้อย่างปลอดภัยแล้ว ยังปกป้องร้อยยิ้มสวยๆ ของคุณไว้ได้อีกต่า


5. ดื่มชา - กาแฟ

เครื่องดื่มร้อนๆ หอมกรุ่น อย่าง ชา - กาแฟ ที่สาวเราชอบดื่มกัน นอกจากจะทำให้เกิดคราบไม่น่ามองที่ฟันแล้ว สารแทนนิน (tannin) ในชา - กาแฟ ยังส่งผลต่อผิวฟัน ทำให้ผุกร่อนง่ายอีกด้วย ดังนั้นนอกจากจะแนะนำให้ดื่มชา กาแฟ แต่พอดีแล้ว หลังดื่มเสร็จ ควรกลั้วน้ำเปล่าเสียหน่อยเพื่อช่วยเจือจาง สารแทนนิน มิให้ทำลายผิวฟัน และถ้าจะให้ดีควรเพิ่มนม ลงไปในชา หรือกาแฟด้วย “สารแทนนิน ใน ชาดำ และกาแฟ จะเข้าไปทำลายผิวเคลือบฟัน , ทั้งยังทำให้เกิดเป็นคราบฝังแน่นที่ผิวฝันอีกด้วย ฉะนั้นจึงแนะนำว่า ควรบริโภคเครื่องดื่มเหล่านี้อย่างพอเหมาะ และควรเพิ่มนม ลงในชา หรือกาแฟ ของคุณเพื่อช่วยต่อต้านกรดที่มีในชา และกาแฟเหล่านั้นด้วย” ประธานสถาบันทันตกรรม David F. Halpern ให้ข้อมูล

6. อดอาหาร ลดน้ำหนัก

เมื่ออยู่ในช่วงไดเอท (diet) บางคนตั้งหน้าตั้งตา จำกัดอาหาร หวังลดน้ำหนัก ควบคุมสัดส่วนให้สวยนิ้ง จนลืมคิดไปว่า การที่คุณสาวๆ รับประทานอาหารน้อยลงนั้น เป็นสาเหตุให้คุณขาดวิตามิน และแร่ธาตุที่สำคัญต่อเหงือก และ ฟัน ทั้ง โฟเลต (Folate) , วิตามินดี (Vitamin D) , โปรตีน (Protein) , แคลเซียม , วิตามินซี (Vitamin C) ฯลฯ นอกจากนี้พฤติกรรมการรับประทานน้อย ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ยังส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายต่ำลง จนอาจเกิดการติดเชื้อที่เหงือก และช่องปากได้ง่ายขึ้นอีกด้วย

7.ทานยาคุมกำเนิด

เกิดเป็นผู้หญิง ไม่ใช่เรื่องง่ายจริงๆ เพราะยาคุมกำเนิด ที่สาวมีคู่แล้ว ต้องรับประทานเพื่อคุมกำเนิดเนี้ย ส่งผลต่อการรักษาโรคเหงือก และฟัน ที่จะทำได้ยากขึ้น ทั้งนี้ มีการศึกษายืนยันว่า ผู้หญิงที่รับประทานยาคุมกำเนิด หากพวกเธอเกิดภาวะฟันผุ แล้วต้องไปถอนฟันนั้น มีแนวโน้มว่า ผู้หญิงกลุ่มนี้ จะเกิดภาวะการติดเชื้อ ที่เหงือกมากกว่าคนทั่วไป (ผู้ไม่รับประทานยาคุมกำเนิด) ถึง 2 เท่า ฉะนั้นหากคุณยังต้องรับประทานยาคุมกำเนิดจริงๆ แนะนำว่า ควรปรึกษากับทันตแพทย์ อย่างสม่ำเสมอ เพื่อคอยระมัดระวัง สอดส่องผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้น

8.ฮอร์โมนในช่วงวัยรุ่น เพิ่มความเสี่ยง โรคเหงือก

เป็นอีกเรื่องที่ต้องเตือนกันไว้ สำหรับ หนุ่ม-สาว แรกรุ่น ที่นอกจากเราจะทราบกันดี ว่าเมื่อ ฮอร์โมน (Hormone) ในช่วงวัยรุ่นพุ่งพล่าน นอกจากจะทำให้เกิดสิว หน้ามัน ฯลฯ แล้ว ยังสามารถทำให้เกิดภาวะเหงือกบวม และมีความเสี่ยงที่จะเกิดการติดเชื้อที่เหงือก เกิดโรคเหงือกอักเสบ และแผลในปากได้ง่ายขึ้น แต่ทั้งนี้ หากดูแลสุขอนามัยภายในช่องปากให้ดี แปรงฟันอย่างสม่ำเสมอ และพบแพทย์เป็นประจำ ก็จะสามารถลดความเสี่ยงในเรื่องนี้ได้ค่ะ

9. การฟอกฟัน ให้ขาว

แม้ยังไม่ชัดเจนว่า การฟอกฟันขาวจะทำลายผิวฟัน แต่ก็มีงานวิจัยหลายชิ้น ที่ระบุว่า การฟอกฟันเพื่อให้ขาวใสนั้น สามารถส่งผลให้ผิวฟันบอบบาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทำบ่อยเกินไป ! ฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นการตัดสินใจฟอกสีฟันตามคลินิก(clinic) , ใช้เจลฟอกสีฟันด้วยตัวเองที่บ้าน หรือแม้กระทั่งใช้ยาสีฟันไวท์เทนนิ่ง (Whitening) ที่อาจมีฤทธิ์ในการกัดกร่อนผิวฟัน ควรพิจารณาให้ถ้วนถี่ และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเสมอจ้า


10.อายุเพิ่ม กระดูก - ฟัน ยิ่งอ่อนแอ

เป็นเรื่องธรรมดา ที่ต้องเตรียมใจค่ะ เมื่ออายุเพิ่มขึ้น กระดูก และฟัน ของเราย่อมเสื่อมไปตามกาลเวลา แม้เรื่องอายุจะหยุดยั้งไม่ได้ แต่คุณก็สามารถช่วยบรรเทา ความสึกหลอของฟันได้ ทั้งการรับประทานอาหารที่เปี่ยมไปด้วยแคลเซียม รวมถึงใช้ ยาสีฟัน ที่มีส่วนผสมของ ฟลูออไรด์ (fluoride) อย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันฟันผุ


"ผู้สูงอายุที่แปรงอย่างสม่ำเสมอด้วยยาสีฟันฟลูออไรด์ หรือบ้วนปากด้วยฟลูออไรด์ อย่างสม่ำเสมอ จะมีฟันผุน้อยกว่า ผู้ที่ไม่ได้ใช้ฟลูออไรด์”

5 สิ่งสำคัญที่มักคิดได้เมื่อสายไป



5 อันดับแรกที่คนส่วนใหญ่มักเสียใจที่ไม่ได้ทำสิ่งเหล่านี้ ขณะยังที่พวกเขายังแข็งแรงดีอยู่...

1. "ฉันอยากจะมีชีวิตที่เป็นของตัวเอง แทนที่จะเป็นในแบบที่คนอื่นอยากให้ฉันเป็น"
นี่เป็นอันดับแรกสุดที่หลายคนปรารถนาอยากให้มันเกิดขึ้นขณะที่พวกเขายังมีกำลังวังชาดี ณ เวลาปัจจุบันที่พวกเขามองย้อนกลับไป จึงได้พบว่ามีหลายความหวังและความฝัน ที่เขายังไม่มีโอกาสแม้แต่จะเริ่มต้นลงมือทำ พอมานึกได้ตอนนี้ก็สายเกินไปเสียแล้ว เขาไม่มีกำลังเหลือที่จะต่อสู้เพื่อความฝันอีกต่อไป ตลอดเวลาที่ผ่านมาพวกเขาล้วนแต่วิ่งไล่ตามสิ่งที่คนอื่นอยากเห็นเขาทำ อยากให้เขาเป็น จนลืมไล่ตามความฝันของตัวเอง ในหนึ่งชีวิตที่ได้เกิดมานั้น การได้ทำสิ่งต่าง ๆ ตามที่เราใฝ่ฝันถือว่าสำคัญที่สุด ถึงจะสำเร็จหรือไม่ก็ตาม แต่อย่างน้อยขอเพียงให้ได้ลงมือทำ เพราะหากละทิ้งปล่อยให้มันผ่านล่วงเลยไปจนวันที่สุขภาพไม่เอื้ออำนวยแล้ว แม้จะอยากไล่ตามความฝันแค่ไหนก็ทำไม่ได้อีกต่อไป

2. "ฉันไม่น่าจะทุ่มเททำแต่งานมากขนาดนั้น"
คนไข้ชายแทบทุกคนพูดเช่นนี้กับเธอ เพราะผู้ชายพวกนั้นล้วนเป็นหัวหน้าครอบครัว และรับผิดชอบในการหาเงินมาจุนเจือดูแลสมาชิกในบ้าน เมื่อมองย้อนกลับไปพวกเขาจึงไม่อาจระงับความเสียใจได้ ที่ไม่ได้ใช้เวลากับลูก ๆ และภรรยาให้มากกว่านี้ พวกเขาเสียใจอย่างสุดซึ้งที่เอาแต่โหมทำงานหนักจนละเลยการใช้เวลากับครอบครัว ...มันคงจะดีกว่านี้ถ้าเราจะเพิ่มเวลาว่างให้แต่ละวันในชีวิต และใช้ช่วงเวลาเหล่านั้นกับบุคคลอันเป็นที่รัก มีความสุขในแต่ละวันมากขึ้น และไม่ต้องมานั่งเสียใจเมื่อสายเกินไปแบบนี้ด้วย

3. "ฉันน่าจะได้พูดเรื่องนั้นออกไป"
คนไข้หลาย ๆ คนเสียใจที่ตัวเองไม่ได้พูดในสิ่งที่อยากพูดออกมา หลายคนเลือกที่จะสงบปากสงบคำเอาไว้เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะ หรือผิดใจกับผู้อื่น จนทำให้อาการป่วยหลาย ๆ อย่างพัฒนาขึ้นมาจากความเครียดที่ต้องเก็บงำสิ่งเหล่านี้เอาไว้นั่นเอง ตลอดเวลาที่ผ่านมาจึงกล่าวได้ว่าผู้ป่วยของเธอไม่ได้แสดงความเป็นตัวของตัวเองที่แท้จริงออกมาเลย ไม่ว่าอย่างไร เราก็ไม่สามารถควบคุมความคิดของอีกฝ่ายที่จะมีต่อเราได้ การที่เราได้พูดในสิ่งที่ใจคิดออกไป แม้อาจทำให้อีกฝ่ายไม่พึงใจ แต่มันก็จะเปลี่ยนความสัมพันธ์ระหว่างเรากับบุคคลนั้นไปในทิศทางใหม่ที่ตรงไปตรงมาและจริงใจต่อกัน และคุณเองก็ไม่ต้องอึดอัดใจกับการที่ไม่สามารถพูดในสิ่งที่ตัวเองคิดออกไปได้ด้วย

4. "ฉันอยากใช้เวลากับเพื่อนสนิทให้มากกว่านี้"
หลายครั้งหลายหนนักที่กว่าเราจะเข้าใจความสำคัญและยิ่งใหญ่ของมิตรภาพก็เมื่อเวลาล่วงเลยจนสายเกินไป คนไข้จำนวนไม่น้อยของเธอต่างรู้สึกเสียใจที่ไม่ได้ให้เวลาในการบำรุงรักษามิตรภาพเก่าแก่ของตน ซึ่งส่วนหนึ่งนั้นเกิดจากวิถีการใช้ชีวิตแบบใหม่ที่ยุ่งและเร่งรีบเสียจนเวลาในหนึ่งวันไม่เหลือพอให้คิดถึงสหายที่เคยกอดคอร่วมกันมา แต่เมื่อเวลาผ่านพ้นไปจนถึงช่วงระยะเวลาสุดท้ายของชีวิต หนึ่งในสิ่งที่พวกเขาโหยหามากที่สุดก็คือความรักจากมิตรสหาย อยากพบหน้า อยากพูดคุย อยากใช้เวลาด้วยกันให้มากกว่าที่ผ่านมา
5. "ฉันอยากใช้ชีวิตให้มีความสุขมากกว่านี้"
คนไข้ที่พูดเช่นนี้หาได้ไม่พอใจในความเป็นอยู่ของชีวิตที่เคยเป็นมา แต่เป็นเพราะว่าเมื่อมองย้อนกลับไป พวกเขากลับพบหนทางมากมายเหลือเกินที่จะทำให้ชีวิตมีความสุขได้มากกว่าเดิม แต่พวกเขากลับไม่เลือกเดินทางนั้น ที่ผ่านมาพวกเขาใช้ชีวิตด้วยความหวาดกลัวต่อการเปลี่ยนแปลง กลัวสิ่งที่จะเปลี่ยนชีวิตที่เป็นอยู่ให้ต่างไปจากเดิม โดยที่ยังไม่รู้ว่าการเปลี่ยนแปลง นั้นจะเป็นไปในทิศทางใด จะดีหรือว่าร้าย ทำให้ชีวิตย่ำอยู่บนกรอบแคบ ๆ อันเดิม กิจวัตรในแต่ละวันคงเดิม ไม่มีความแปลกใหม่ ไม่มีสีสันที่จะทำให้ชีวิตน่าจดจำเลย ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว พวกเขาเองก็มีสิทธิ์เลือก เลือกทางเลือกที่จะหนีไปให้พ้นความซ้ำซากจำเจนี้ ในใจลึก ๆ แล้วทุกคนก็อยากจะกลับไปหัวเราะให้เต็มเสียงหรือทำตัวไร้สาระบ้าง ซึ่งคงมีเวลาทำมากว่านี้ ถ้าไม่มานึกได้เมื่อสายเกินไป

จากทั้ง 5 ข้อที่กล่าวมานี้ ดู ๆ แล้วก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ใคร ๆ ก็คิดได้ แต่คงด้วยความเป็นเรื่องธรรมดา ๆ นี่เอง หลายคนจึงได้มองข้ามมันไป เพราะคิดว่าทำเมื่อไรก็ได้ แต่คำว่าเมื่อไรนั้นก็มีจุดสิ้นสุดเช่นกัน และเมื่อมันสิ้นสุดลงในวันที่กายของเราทรุดโทรม ไร้กำลังทำสิ่งใด ๆ ได้แต่ปล่อยเวลาที่เหลือไปกับการคิด คิดถึงสิ่งที่อยากจะทำ แต่ยังไม่เคยได้ทำ และคงสายเกินไปแล้วที่จะทำ

วิธีการอ่าน/เขียนหนังสือด้วยปากกาสามสี

วิธีการใช้ปากกา 3 สีในการเรียนหรือว่าอ่านหนังสือจะช่วยให้การอ่านหนังสือของเรามีประสิทธิภาพมากขึ้น ปากกา 3 สี ที่เราคิดว่ามันสามารถประยุกต์ใช้กับทุกๆ คนได้จริงๆ ก็เพราะว่า หลักการมันง่ายนิดเดียว แต่เค้าบอกว่าผลลัพธ์ที่ได้มากมายเลย ปากกา 3 สี มี สีแดง สีเขียว สีน้ำเงิน วิธีการขีดเส้นใต้ด้วยสีทั้ง 3 นี้ก็คือ

สีน้ำเงิน - ในจุดทั่วๆ ไปที่เราคิดว่าค่อนข้างสำคัญ ซึ่งจุดที่เราขีดสีน้ำเงิน คือที่ๆ ไม่ว่าใครอ่าน ก็จะต้องคิดว่าตรงนี้ค่อนข้างสำคัญเหมือนกันหมด จะขีดมากขีดน้อยยังไงก็ได้ จะขีดจนหมดหน้าเลยก็ได้ แต่ว่าเค้าบอกว่าการขีดเส้นสีน้ำเงิน เมื่อเรากลับมาอ่านดูอีกรอบ จะเหมือนกับการย่อบทความหรือเรื่องที่เราอ่านออกมา คล้ายๆ กับการย่อความนั่นเอง

สีแดง - ขีดเฉพาะในจุดที่สำคัญมากๆๆๆๆๆๆๆๆ มากจริงๆ ไม่ว่าใครอ่านก็ต้องรู้ว่าตรงนี้สำคัญมาก ถ้าเราตัดสินได้แบบนั้นค่อยขีด ห้ามขีดเยอะ ให้ขีดได้แค่จุดที่สำคัญมากๆ จริงๆ เท่านั้น

สีเขียว - ขีดเฉพาะที่ๆ เราคิดว่า "น่าสนใจ" สีเขียวนี่เราคิดว่าเป็นจุดที่ประหลาดดี เค้าบอกว่าให้เราใช้ตัวเองเป็นคนตัดสิน ว่าตรงนี้ควรจะขีดสีเขียวหรือไม่ เวลาที่เราอ่านบทความอะไรซักอย่างหนึ่ง จำนวนของสีเขียวช่วยเป็นตัวบอกให้เรารู้ด้วยว่าเราสนใจ หรือว่าชอบบทความนั้นมากขนาดไหน