วันเสาร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2554

“5 DON’T when you are sleeping”


“5 DON’T when you are sleeping” แปลตรงๆ ก็คือ ’5 อย่า’ เมื่อคุณจะนอน” มาดูกันซิว่ามีอะไรบ้าง

อย่าที่ 1 คือ อย่านอนหลับไปพร้อมๆ กับนาฬิกาข้อมือ ก็เพราะขณะที่นาฬิกาเจ้ากรรมทำงานไปเรื่อยๆ นั้น เจ้านาฬิกาไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ล้วนปล่อยพลังงานทั้งสิ้น เชื่อมั้ยว่าการใส่นาฬิกาข้อมือนอนจะมีผลต่อสุขภาพระยะยาวเลย

อย่าที่ 2 นี่ สำหรับพวกชอบคุยโทรศัพท์มือถือจนหลับโดยเฉพาะเลย ไม่ควรนอนหลับไปพร้อมๆ กับโทรศัพท์เท่านั้น แต่หมายรวมไปถึงการวางโทรศัพท์มือถือไว้ใกล้ๆ ตัวด้วย บางคนที่ชอบใช้มือถือเป็นนาฬิกาปลุกยามเช้า กรุณาเก็บมือถือของท่านไว้ให้ใกลตัวที่สุดเมื่อจะนอนซะเถอะ
ไปหาซื้อนาฬิกาปลุกถูกๆ ดีๆ เก๋ๆ มาใช้ดีกว่า เพราะมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ระบุว่าโทรศัพท์มือถือเครื่องจิ๋วเนี่ย จะปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมาขณะเปิดเครื่องไว้ และเจ้าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเหล่านี้มีผลกับระบบประสาทซะด้วยสิ เพราะฉะนั้น ตอนนอนก็ปิดโทรศัพท์มือถือซะดีกว่า พอปิดโทรศัพท์มือถือเรียบร้อยแล้ว จะวางไว้ใกล้หรือไกลก็หายห่วง

อย่าที่ 3 ง่ายๆ สั้นๆ คือ อย่าหลับพร้อมๆ กับเครื่องสำอาง ไม่ว่าจะเหนื่อยอ่อนเมื่อยล้าขนาดไหน ต้องล้างเครื่องสำอางออกให้หมด เพราะการหลับทั้งๆ ที่เครื่องสำอางยังคาอยู่ที่ผิวหน้านั้น จะก่อให้เกิดปัญหาด้านผิวพรรณระยะยาว กลางคืนคือช่วงเวลาที่ผิวพรรณจะได้พักผ่อนบ้างนะค่ะ

อย่าที่ 4 (สำหรับสาวๆ เท่านั้น) คือ อย่านอนหลับทั้งๆ ที่ยังใส่ยกทรง นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกันค้นพบว่าการใส่ยกทรงนานเกิน 12 ชั่วโมง จะเป็นการเพิ่มอัตราเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งทรวงอกได้ ฉะนั้น ก็อย่าใส่ยกทรงนอนเลย ไม่ต้องกลัวเสียทรง ไม่ต้องกลัวอกแบะ ห่วงชีวิตไว้ก่อนดีกว่า

อย่าที่ 5 อันนี้เหมาะกับทุกเพศเลยนะ “อย่านอนกับสามีหรือภรรยาของคนอื่น” เพราะคุณอาจจะไม่ได้ตื่นอีกเลย..

วันอาทิตย์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ท่องตำรานาทีสุดท้าย'จำแน่น-สอบดีขึ้น'



จากผลการวิจัยชี้ว่า ฮอร์โมนที่ร่างกายผลิตขึ้นเมื่อเกิดความเครียดสามารถทำให้เซลล์สมองเปลี่ยนแปลง และช่วยให้สมองเก็บความจำอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นักวิจัยพบว่า ฮอร์โมนความเครียด คอร์ติซอลและอะดรีนาลีน ทำให้การทำงานของเซลล์ประสาทมีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งช่วยส่งเสริมความสามารถในการเรียนรู้ ศาสตราจารย์ฮันส์ รอยล์ นักประสาทวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยบริสตอล อังกฤษ กล่าวว่างานวิจัยนี้บ่งชี้ว่าการเรียนรู้ของนักเรียนอาจดีขึ้นอย่างชัดเจนเมื่อเรียนรู้ภายใต้ความกดดันจากเส้นตาย รอยล์อธิบายว่า คอร์ติซอลและอะดรีนาลีนอาจกระตุ้นกลไกที่เรียกว่า การเปลี่ยนแปลงการแสดงออกของยีน โดยที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ บนลำดับดีเอ็นเอ ซึ่งกลายเป็นการตั้งโปรแกรมดีเอ็นเอใหม่ “บ่อยครั้งที่เราพบว่า ความทรงจำที่ไม่น่าพึงใจคือความทรงจำที่คงอยู่กับเราไปตลอดชีวิตมากกว่าความทรงจำที่ดี สาเหตุมาจากบทบาทของความเครียด เนื่องจากมุมมองด้านชีววิทยาทำให้คนเราเลือกจดจำสิ่งที่ทำร้ายหรือคุกคามเรามากกว่า ทั้งนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่คล้ายกันนั้นที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต “คล้ายกับว่าฮอร์โมนความเครียดเชื่อมโยงกับตัวรับสัญญาณบางอย่างในสมอง ที่ส่งเสริมการควบคุมกลไกที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้และความจำ “และที่สำคัญ ฮอร์โมนความเครียดจะส่งเสริมกระบวนการที่ปกติแล้วเกิดขึ้นขณะเรียนรู้” การเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นเกิดจากความเครียดที่เพิ่มขึ้นและสร้างเป็นความจำไว้ในสมองส่วนฮิปโปแคมปัสที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการเรียนรู้และความจำ

โอเมก้า 3" ลดความเสี่ยง "โรคหัวใจ" หาได้ใน "ปลาทูไทย"




ความเจริญของโลกใบนี้ก่อให้เกิดการพัฒนาอาหารที่มีความหลากหลาย เพื่อให้ถูกปากและถูกใจคนกินมากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะไขมันที่มีมากในอาหารประเภทเร่งด่วน ตัวเร่งให้เกิดความอ้วนและโรคนานาชนิดที่แฝงมากับอาหารในโลกยุคใหม่ดังนั้น เราจำเป็นต้องปรับพฤติกรรมการกินให้เหมาะสม เพื่อหลีกหนีอาหารที่หน้าตาดีแต่ไม่มีประโยชน์เหล่านั้นศ.น.พ.นิธิ มหานนท์ อายุรแพทย์โรคหัวใจและเลขาธิการมูลนิธิโรงพยาบาลปิยะเวทกล่าวว่า การรับประทานอาหาร และการดำเนินชีวิตแบบเร่งรีบเป็นตัวทำให้เกิดโรคได้มากมาย โดยเฉพาะโรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง ฯลฯ ซึ่งมีโอกาสพัฒนาไปเป็นโรคหัวใจและโรคเส้นเลือดในสมองได้ในอนาคตและยิ่งอาหารที่เราบริโภคในปัจจุบัน ถือว่ามีสารอาหารต่าง ๆ หดหายไป ซึ่งบางชนิดยังเป็นโทษต่อร่างกายอีกด้วย เช่น ผลไม้ที่มีความหวานมากขึ้น ก็เป็นปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคได้โดยเฉพาะไขมันซึ่งมีทั้งไขมันดีและไขมันไม่ดี ซึ่งร่างกายต้องการไขมันดีมาช่วยให้การฟื้นฟูเซลล์และฮอร์โมนใน ส่วนต่าง ๆ จากข้อมูลทางวิชาการพบว่า ไขมันที่ร่างกายต้องนำไปใช้คือ โอเมก้า 3, 6 และ 9 ซึ่งตัวที่ร่างกายต้องการมากที่สุดคือ โอเมก้า 3 ที่จะช่วยป้องกันโรคหัวใจและโรคสมองเสื่อมได้สำหรับโอเมก้า 3 บางชนิด ถ้าได้ตั้งแต่เด็ก ๆ หรืออยู่ในครรภ์มารดาจะทำให้การเจริญเติบโตของสมองดีขึ้น และยังมีผลการวิจัยพบว่า โอเมก้า 3 ยังช่วยลดอาการอักเสบของโรคข้ออักเสบได้ด้วย ส่วนผู้ป่วยโรคหัวใจนั้นโอเมก้า 3 จะช่วยป้องกันโรคได้ และถ้าในคนที่เป็นโรคแล้วยังป้องกันไม่ให้มีอาการเพิ่มขึ้น ศัลยา คงสมบูรณ์เวช นักกำหนดอาหารขึ้นทะเบียนวิชาชีพ (อเมริกา) และที่ปรึกษาโภชนบำบัดโรงพยาบาลเทพธารินทร์กล่าวว่า โอเมก้า 3 มีมากอยู่ในอาหารจำพวกปลาทะเล แต่ก็มีอาหารชนิดอื่น ๆ ที่มีสารอาหารชนิดนี้ด้วยเช่นกัน อาทิ ในน้ำมันบางชนิดในพืชบางชนิด เช่น ถั่วเหลือง ผักโขม ผักแขนง เมล็ดปอ และในสาหร่าย แต่ในอาหารเหล่านี้จะเป็นโอเมก้า 3 ที่ไม่ใช่รูปแบบเดียวกับที่อยู่ในปลาอย่างไรก็ตาม โอเมก้า 3 จะถูกทำลายเมื่อนำไปประกอบอาหารด้วยวิธีใช้ความร้อนสูง ๆ โดยเฉพาะวิธีการทอด เพราะโอเมก้า 3 จะละลายไปกับน้ำมันที่ใช้ทอดเกือบทั้งหมด ดังนั้น วิธีที่จะประกอบอาหารให้ คงโอเมก้า 3 ไว้ให้ได้มากที่สุดก็คือ การยำ การต้ม หรือแกง เพราะโอเมก้า 3 จะละลายอยู่ในน้ำซุปหรือน้ำแกง นอกจากนั้น ปลาทูของไทยยังมีโอเมก้า 3 มากเพียงพอกับปลาแซลมอน ที่ไม่จำเป็นต้องซื้อหาปลาราคาแพงมาประกอบอาหารเลย

รู้ไหมว่า "ชิส กับ เนย" อย่างไหนดีกว่ากัน




ผลิตภัณฑ์จากนมอย่าง "เนย" และ "ชีส" ต่างเป็นตัวช่วยสำคัญในการเพิ่มความอร่อยให้แก่ขนมปังปิ้งมื้อเช้า บิสกิตยามบ่าย หรือแม้แต่เมนูอาหารค่ำแบบฝรั่งก็ยังต้องพึ่งทั้งชีส และเนยจูเลีย เจอป์สเตด นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกน เดนมาร์ก ได‰ทดสอบเด็กๆ วัยประถมศึกษา จำนวน 50 คน โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่กลุ่มที่ชอบกินชีส และกลุ่มที่เลือกกินเนยมากกว่า ก่อนให้สลับพฤติกรรมการกินจากชีสเป็นเนย และเนยเป็นชีส อยู่นานถึง 6 สัปดาห์ปรากฏว่า ร่างกายของนักกินชีสวัยเยาว์ ไม่มีการเพิ่มของไขมันความหนาแน่นต่ำ หรือ ไขมันแอลดีแอล ที่ก่อให้เกิดภาวะหลอดเลือดแข็งส่วนบรรดานักกินเนยกลับมีไขมันแอลดีแอลเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 7 นั่นเป็นเพราะเนย ผลิตมาจากไขมันล้วนๆ ของนม จึงให้คุณค่าแค่ไขมันตัวร้ายที่ชอบอุดตันอยู่ตามหลอดเลือดขณะที่ชีสมีทั้งแคลเซียม และโปรตีน รวมพลังช่วยกันขับไล่ไขมันออกจากร่างกายระหว่างการย่อย จนเหลือเป็นสารอาหารดีๆ ที่มีประโยชน์เท่านั้น

วิธีลดความฟุ้งซ่านก่อนอ่านหนังสือ



เคยหรือไม่? อ่านหนังสือหลายรอบแต่ยังจำไม่ได้สักที ลองสำรวจ “ใจพร้อม” หรือไม่ เพราะอาจเป็นสาเหตุ “ทำสมาธิสั้น” โดยไม่รู้ตัว “เดลินิวส์ แคมปัส” มีผลการศึกษาน่าสนใจช่วยลดความฟุ้งซ่านมาฝากวัยเรียนกันการวิจัยจากมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา เผยว่า การฟังเพลงโปรด จะช่วยขยายหลอดเลือด และเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ซึ่งไม่เพียงทำให้รู้สึกผ่อนคลายเท่านั้น แต่ยังส่งผลดีต่อหัวใจด้วย แต่หากต้องการปรับอารมณ์ไม่ให้ฟุ้งซ่านก่อนอ่านหนังสือแล้วล่ะก็ ควรเลือกฟังเพลงในจังหวะไม่เร็วเกินไปอย่าง “แจ๊ส” จะดีกว่า นอกจากนี้ การวิจัยจากมหาวิทยาลัยในฮ่องกงยังพบว่า การกดจุดบนฝ่ามือ ตรงบริเวณมุมส่วนโค้งระหว่างนิ้วชี้ และนิ้วหัวแม่มือ เพียง 30 วินาที จะช่วยลดความตึงเครียด และเมื่อยล้าของร่างกายส่วนบนได้ถึงร้อยละ 39จากนั้น ก็ถึงเวลาอ่านหนังสืออย่างมีประสิทธิภาพ โดยน้อง ๆ ควรให้เวลาในการอ่านต่อเนื่องอย่างน้อย 2 ชั่วโมง เนื่องจากครึ่งชั่วโมงแรกจิตใจมักยังไม่นิ่ง ส่วนใหญ่จะเริ่มมีสมาธิมากขึ้นหลังล่วงเวลานั้นไปแล้ว ระหว่างนี้ อาจเสริมบรรยากาศภายในห้องด้วยกลิ่นลาเวนเดอร์ก็ได้ เพราะเปรียบเหมือนยาคลายความวิตกกังวลชั้นดีทีเดียว

วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ฟังไว้ใส่ชุดชั้นในผิดวิธีอาจเกิดโรคได้

คงไม่มีใครคาดถึงแน่ๆ ถ้าจะบอกว่า ภัยร้ายใกล้ตัวที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพของผู้หญิงได้นั้นจะเกิดขึ้นจาก “ชุดชั้นใน” … ใครจะคิดว่าชุดนั้นในที่เราสวมใส่อยู่ทุกวันนั้นจะก่อให้เกิดผลเสียที่ร้านแรงต่อสุขภาพได้จริงไหมล่ะคะ

ไม่เชื่อก็คงจะต้องเชื่อจริงๆ เพราะไม่ว่าจะเป็น เสื้อชั้นใน กางเกงใน หรือสเตย์รัดหน้าท้อง หากไม่รู้จักวิธีการเลือกที่ถูกวิธี เมื่อสวมใส่แล้วก็อาจจะส่งผลต่อสุขภาพได้โดยที่เราไม่รู้ตัวเลยทีเดียว!!!





สายชุดชั้นใน : ชุดชั้นในที่ถูกปรับสายจนรัดเนื้อตึงเกินไปจะไปรั้งช่วงไหล่ ทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก สาวๆ ที่ใส่เสื้อชั้นในรั้งเกินไปจึงอาจจะมีโรคปวดหัวเรื้อรัง หรือเป็นไมเกรนตามมา ต้องวิ่งหาหมอหาสาเหตุกันให้วุ่นวาย จริงๆ แล้วก็มีสาเหตุมาจากสายเสื้อชั้นในที่รั้งเกินไปนั่นเองล่ะค่ะ

จีสตริง : กางเกงในจีสตริงเป็นกางเกงที่ไม่ควรใส่เลยสำหรับคนที่รักสุขภาพ เพราะความสวยที่ได้ไม่คุ้มกับโรคร้ายๆ ที่จะตามมา เนื่องจากสายกางเกงในทีเล็กมากๆ แต่รัดสุดๆ จะไปทำให้เนื้อเยื่อบริเวณง่ามก้นระคายเคืองหรือเสียดสีจนเป็นแผล และถ้าดูแลความสะอาดไม่ดีพอ จุดซ่อนเร้นของสาวๆ ก็อาจจะอักเสบและติดเชื้อได้ อันตรายไม่น้อยเลยนะคะเนี่ย

บรารัดแน่นเกินไป : สาวๆ ไม่ควรลืมให้ความกับการคำนึงถึงรอบตัวในการเลือกบรา เพราะถ้าหากบรามีรอบตัวคับเกินไปแรงกดที่รัดแน่นตลอดเวลาติดต่อกันนานๆ จะไปทำร้ายต่อมน้ำเหลือง ทำให้เลือดและน้ำเลือดคั่งอยุ่ข้างใน จากนั้นสิ่งที่จะตามมาคือมะเร็งเต้านมที่สาวๆ กลัวกันนัก นอกจากนี้การใส่บราเล็กเกินไปยังจะทำให้ระบบหายใจติดขัด เหนื่อยง่าย หายใจได้ไม่เต็มปอด เดินช้อปปิ้งไม่กี่โลก็หน้ามืดแล้ว

บราเนื้อแข็ง : เนื้อผ้าของเสื้อชั้นในควรจะลื่น นิ่ม ไม่ระคายเคืองผิว ถ้าหากใส่แล้วรู้สึกคันควรจะเลิกใส่เสื้อในตัวนั้นทันที เพราะอาจจะยังซักไม่สะอาดหรือมีสารฟอกสีที่เป็นอันตรายตกค้างอยู่ และสำหรับสาวๆ ที่ทาโลชั่นบำรุงผิวก็ควรงดทาบริเวณเต้านมด้วย เพื่อไม่ให้เกิดการหมักหมมหลังจากที่ใส่บราทับลงไป

ใส่ชุดชั้นในซ้ำ : ถึงแม้ว่าชุดชั้นในของเราจะยังดูสะอาดดี แต่ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่มีเชื้อโรค หลังจากใส่มาแล้วทั้งวันอย่างน้อยๆ ก็ต้องมีเชื้อแบคทีเรียหมักหมมอยู่บ้าง โดยเฉพาะชุดชั้นในที่เปียกเหงื่อยิ่งอาจจะมีเชื้อรา ทำให้บริเวณจุดซ่อนเร้นสามารถติดเชื้อได้ง่ายๆ

ใส่สเตย์ตลอดเวลา : สาวๆ ที่ใส่สเตย์รัดหน้าท้องจะรู้สึกได้เลยว่าหายใจไม่ค่อออก ยิ่งถ้าใส่ทุกวันจะเกิดการเจ็บป่วยตามมามากมาย โรคแรกที่มาแน่ๆ ได้แก่ โรคในกระเพาะกับลำไส้ เพราะเป็นอวัยวะที่ได้รับผลกระทบโดยตรง อาจจะท้องผูก ระบบย่อยไม่ดี เป็นโรคกระเพาะ หรือมีแผลในกระเพาะอาหารจากนั้นก็จะมีโรคปวดหลัง กล้ามเนื้อหลังไม่แข็งแรง ปวดประจำเดือนมากกว่าปกติ เส้นเลือดอุดตัน ระบบไหลเวียนโลหิตมีปัญหา การใส่เสตย์จึงควรใส่เฉพาะเวลาจำเป็นจริงๆ อย่างเวลาไปงานเลี้ยง และพอกลับถึงบ้านก็ควรรีบถอดให้เร็วที่สุด


ช่วงนี้อากาศค่อนข้างชื้น ฝนตกเกือบทุกวัน มีน้องๆ หลายคนบ่นว่าเริ่มไม่สบายเป็นหวัดกันเป็นแถว บางคนถ้าไม่ได้ป่วยมากก็มักจะซื้อยามากินเอง แต่ถ้าอาการหนักหน่อยก็ต้องไปพบแพทย์เพื่อตรวจอาการให้ละเอียด ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วถ้าเป็นแค่ไข้หวัดธรรมดา คุณหมอก็มักจะให้ยามากินโดยมักจะบอกให้กินให้ต่อเนื่องจนครบตามที่คุณหมอให้ไป และหลังจากกินยาควรดื่มน้ำตามมากๆ


ทำไมคุณหมอถึงต้องกำชับให้เราดื่มตามมากๆ หลังจากกินยา ... มีกรณีศึกษาที่น่าสนใจเกี่ยวกับพฤติกรรมการกินยาที่ไม่ถูกต้องซึ่งเป็นต้นเหตุทำให้เกิดอาการ "ยาแตกตัวในหลอดอาหาร" โดยอาการผิดปกตินี้เกิดขึ้นกับผู้ประกาศข่าวชื่อดัง "ไก่ ภาษิต" ซึ่งเจ้าตัวได้เล่าถึงอาการดังกล่าวที่เกิดขึ้นผ่านรายการเรื่องเล่าเสาร์อาทิตย์ว่าตนเคยมีอาการเจ็บคอโดยไม่มีสาเหตุ เวลาหายใจลึกๆ จะเจ็บคอมาก ตอนแรกคิดว่าตนเองเป็นโรคกรดไหลย้อน พอเริ่มมีอาการหนักขึ้นจึงไปหาหมอเพื่อทำการวินิจฉัยหาสาเหตุที่แท้จริง ซึ่งปรากฏว่าคุณหมอได้ตรวจพบแผลบริเวณรอบๆ หลอดอาหาร โดยมีลักษณะเป็นผื่นสีแดงเป็นจ้ำๆ

ผู้ประกาศชื่อดังเล่าต่อว่า อาการดังกล่าวนั้นเกิดจากการที่ในช่วงที่ผ่านมาเขามีอาการป่วยเป็นไข้หวัดธรรมดาแล้วไม่ได้ไปหาหมอแต่หายามากินเอง โดยเวลาที่กินยานั้นบางครั้งก็ไม่ได้ดื่มน้ำตามเพราะคิดว่าเดี๋ยวยาก็ไปละลายในกระเพาะเอง ซึ่งนั่นเป็นความคิดที่ผิดมากๆ
เพราะการกินยาโดยที่ไม่ดื่มน้ำตามทำให้ยาไปติดอยู่ที่ตรงหลอดอาหาร ซึ่งอยู่กึ่งกลางระหว่างคอหอยกับกระเพาะอาหาร พอยาไปติดอยู่บริเวณดังกล่าวก็จะไปกัดทำให้หลอดอาหารเกิดแผล พอเกิดแผลมากๆ คนที่กินยาจะรู้สึกเลยว่าร้อน แน่นหน้าอก ซึ่งโดยส่วนใหญ่มักจะเกิดจากการกินยา 2 ประเภท คือ ยาที่เป็นกรด ประเภทวิตามินซี และยาที่เป็นพวกแคปซูลเหนียวๆ จะมีปัญหาติดหลอดลมมาก

ดังนั้น พี่เหมี่ยวจึงขอแนะนำวิธีกินยาที่ถูกต้องก็คือ จะต้องดื่มน้ำตามเยอะๆ หลังจากที่กินยา และรอประมาณครึ่งชั่วโมงก่อนล้มตัวลงนอน เพื่อให้มั่นใจว่ายาที่กินเข้าไปผ่านไปยังกระเพาะอาหาร เพราะยาบางอย่างเวลาดื่มน้ำตามเยอะเราจะรู้สึกเลยว่ามันจะไหลจากคอลงไปท้อง แต่ถ้าเรากินน้ำน้อยบางทีจะไม่รู้สึก จำไว้นะคะว่าการที่เรารู้สึกว่ายาหายจากคอไป ไม่ได้หมายความว่ายาลงไปที่กระเพาะอาหาร ซึ่งจริงๆ มันอาจจะไปติดอยู่ที่หลอดอาหารก็ได้
นอกจากนี้พฤติกรรมการกินยาที่ถูกต้องอีกอย่างหนึ่งก็คือ สำหรับการกินยาก่อนนอน หลังจากกินยาแล้วอย่าเพิ่งเอนตัวลงนอนทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคนที่มีภาวะกรดไหลย้อน ถ้ายาไปอยู่ตรงหลอดอาหารพอดีก็จะทำให้เกิดแผล จนแผลทะลุ ถ้าเป็นแผลเรื้อรังนานๆ อาจเป็นมะเร็งได้

วันจันทร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

อันตรายของปากกาเคมี




เคยสังเกตเวลาใช้ปากกาไวท์บอร์ดหรือปากกาเคมีมั้ยคะว่ามีกลิ่นฉุนของสารเคมีออกมาเวลาที่เขียนด้วยรึเปล่า ถ้ามีขอแนะนำให้เปลี่ยนมาใช้ตราม้าดีกว่าค่ะ เพราะกลิ่นที่ว่านั้นคือสารเคมีที่เรียกว่า "ไซลีน”สารไซลีนใช้เป็นทินเนอร์หรือสารละลายในหมึก ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในอุตสาหกรรมหลายประเภท เช่น อุตสาหกรรมผลิตสี อุตสาหกรรมงานพิมพ์ โรงงานทำเฟอร์นิเจอร์ไม้ อู่เคาะพ่นสี ฯลฯ
สารไซลีน สามารเข้าสู่ร่างกายคนเราได้ทางผิวหนังและการหายใจ เมื่อผ่านเข้าทางผิวหนังจะ่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนัง อย่างรุนแรง ส่วนการหายใจเข้าสู่ร่างกาย จะถูกส่งไปยังปอด ผ่านเข้าสู่ระบบหมุนเวียนโลหิต ส่งผลต่อร่างกายได้หลายระดับ ตามปริมาณที่รับเข้าไป เช่น ทำให้มึนงง ปวดศีรษะ คลื่นเหียนอาเจียน เกิดการเสียวคอและหน้าอก เกิดการระคายเคืองตาและระบบทางเดินหายใจ ไอและน้ำมูกไหล นอกจากนี้การรับสารไซลีน ในปริมาณไม่มากต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานาน ก็สามารถส่งผลเสียต่อร่างกายได้เช่นกัน การสูดไอเคมีเข้าไปเรื่อยๆ จะไปกระตุ้นและกดระบบประสาทส่วนกลาง เช่น เกิดอาการชา สั่นกระตุก หวาดกลัว ความจำเสื่อม อ่อนเพลีย จิตใจกระวนกระวาย ทรงตัวลำบาก เบื่ออาหาร คลื่นเหียน และท้องอืด
ดังนั้น ก่อนที่จะเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารเคมีอย่าง ปากกาไวท์บอร์ด หรือ ปากกาเคมี ควรสังเกตฉลากด้านข้าง อย่างละเอียดว่า มีเครื่องหมายรับรองความปลอดภัยอย่างเครื่องหมาย AP และ CE หรือไม่ สิ่งเล็กน้อยเหล่านี้จะละเลยไม่ได้ เพื่อสุขภาพที่ดีของตัวเราเอง

10 สาเหตุใกล้ตัวที่ไม่น่าเชื่อว่าจะทำคุณฟันเหลือง-ปากเหม็น

สาเหตุที่ทำให้ สุขภาพช่องปากของคุณย่ำแย่

1.เครื่องดื่มเกลือแร่

ปัจจุบันเครื่องดื่มประเภทเกลือแร่ ที่ช่วยทดแทนการสูญเสียเหงื่อจากการออกกำลังกาย มีจำหน่ายมากมายหลากหลายยี่ห้อ ซึ่งก็มิใช่แค่พ่อหนุ่มนักกีฬาเท่านั้นที่นิยม สาวเราบางคนเมื่อรู้สึกอ่อนเพลีย ก็ซื้อหามาดื่มหวังสร้างความกระปรี้กระเปร่าอยู่เป็นประจำ แต่ทราบหรือไม่ว่า เครื่องดื่มประเภทนี้ ไม่ดีต่อฟันเอาซะเลย ทั้งนี้เพราะมีผลการวิจัย ออกมายืนยันว่า เครื่องดื่มเกลือแร่เหล่านี้ มักมีค่าความเป็น กรด อยู่ในระดับสูง ซึ่งกรดเหล่านี้ สามารถส่งผลให้ผิวฟันผุกร่อนได้ง่ายๆ นอกจากนี้น้ำตาลที่มีอยู่ในเครื่องดื่มนี้ เมื่อสะสมเป็นระยะเวลานาน ยังก่อให้เชื้อ แบคทีเรีย (Bacteria) ซึ่งเป็นสาเหตุให้ ฟัน เปราะ แตกหักง่าย และเกิดภาวะร่องเหงือกอักเสบ ได้อีกด้วย "การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ พบว่า เครื่องดื่มเกลือแร่สำหรับผู้สูญเสียเหงื่อจากการเล่นกีฬา อาจนำไปสู่การพังทลายของฟัน เนื่องมาจากกรด ซึ่งมีความเข้มข้นสูง ที่มีอยู่ในเครื่องดื่มนั้น เข้าไปทำลายเคลือบผิวฟัน” David F. Halpern ประธานสถาบันทันตกรรม แห่งสหรัฐอเมริกา ระบุ

2. การแปรงฟันผิดเวลา

หลายท่านเคยชิน ทานอาหารเสร็จปุ๊บ ต้องรีบเข้าห้องน้ำแปรงฟันปั๊บ เพื่อหวังกำจัดเชื่อแบคทีเรีย เป็นอีกหนทางในการป้องกันฟันผุ แต่ในความจริงแล้ว การแปรงฟันหลังอาหารทุกมื้อ อาจไม่ได้ส่งผลดีต่อสุขภาพฟันเสมอไป หากมื้อนั้นคุณรับประทาน อาหารที่มีกรดสูง เช่น ไวน์ , กาแฟ , น้ำอัดลม หรือผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว ทั้งนี้เพราะ อาหารที่มีกรดสูง เมื่อเรารับประทานเข้าไป กรดของมันจะเข้าไปทำลายเคลือบฟันมากอยู่แล้ว หากยิ่งไปขัดถู แปรงฟันเข้าอีก เคลือบฟันก็จะยิ่งสึกกร่อนและถูกทำลายมากเข้าไปใหญ่ ฉะนั้นแนะนำว่า หลังทานอาหารที่มีกรดสูงเข้าไป ให้กลั้วปากด้วยน้ำเปล่าไปก่อน จากนั้นรอสัก 1 ชั่วโมงแล้วค่อยแปรงฟัน เช่นนั้นจะส่งผลดีต่อฟันมากกว่าค่ะ

3.นิยมจิบไวน์

“ไวน์” (wine) เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (Alcohol) ที่หลายคนติดอกติดใจนี่แหละค่ะ ที่เป็นอีกสาเหตุหนึ่ง ซึ่งทำให้ฟันผุ เพราะกรดที่มีอยู่ในไวน์นั้น สามารถทำให้เคลือบฟันของเราค่อยๆ เสื่อมสภาพลง ฉะนั้นสำหรับผู้ชื่นชอบการจิบไวน์ แต่อยากลดความเสี่ยงเรื่องภาวะฟันผุ David F. Halpern แนะนำว่า ควรจิบไวน์แต่พอควร จิบเรื่อยๆ ทีละนิด หลังจิบแล้วก็ดื่มน้ำเปล่าเข้าไปสักหน่อย เพื่อให้น้ำเปล่าช่วยชำละล้างกรดในไวน์ ไม่ให้ทำลายเคลือบฟันได้มากนัก รวมถึงรับประทานไวน์ คู่กับอาหารที่อุดมด้วยแคลเซียม (Calcium) เช่น ดื่มไวน์ขาว คู่กับ ชีส (chese) หรือรับประทานอาหารอย่างอื่นเป็นกับแกล้ม ระหว่างจิบไวน์ไปด้วย เพราะน้ำลายที่เกิดจากการเคี้ยวอาหารจะช่วยให้กรดในไวน์เจือจางได้

4.ทานยาลดน้ำหนัก

เชื่อว่าหลายคน คงได้ยินกันมาบ่อยแล้ว สำหรับเรื่องผลข้างเคียงของยาลดน้ำหนัก ที่อาจส่งผลต่อประสาท ทานแล้วเบลอ หรือพอเลิกทานน้ำหนักก็กลับมามากขึ้นอีกเป็นทวีคูณ ฯลฯ นอกจากผลข้างเคียงที่คุ้นหูนั้น ยังมีอีกอย่างที่คุณอาจไม่ทราบนั่นคือ ยาลดน้ำหนัก ก็สามารถเพิ่มความเสี่ยงทำให้คุณเป็นโรคเหงือก และฟันผุได้ด้วย เพราะยาลดความอ้วนส่วนใหญ่ มักส่งผลให้ต่อมน้ำลาย ผลิตน้ำลายน้อยลง ซึ่งเมื่อน้ำลายในปากน้อยลง เชื้อแบคทีเรีย ที่มีอยู่ในช่องปากก็จะทำลายเหงือกและฟันของคุณได้มากขึ้น จนนำไปสู่อาการฟันผุ สุขภาพช่องปากย่ำแย่ ฉะนั้นการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ คู่ไปกับการควบคุมอาหาร จึงเป็นหนทางที่ปลอดภัยที่สุด ที่นอกจากจะทำให้คุณลดน้ำหนักได้อย่างปลอดภัยแล้ว ยังปกป้องร้อยยิ้มสวยๆ ของคุณไว้ได้อีกต่า


5. ดื่มชา - กาแฟ

เครื่องดื่มร้อนๆ หอมกรุ่น อย่าง ชา - กาแฟ ที่สาวเราชอบดื่มกัน นอกจากจะทำให้เกิดคราบไม่น่ามองที่ฟันแล้ว สารแทนนิน (tannin) ในชา - กาแฟ ยังส่งผลต่อผิวฟัน ทำให้ผุกร่อนง่ายอีกด้วย ดังนั้นนอกจากจะแนะนำให้ดื่มชา กาแฟ แต่พอดีแล้ว หลังดื่มเสร็จ ควรกลั้วน้ำเปล่าเสียหน่อยเพื่อช่วยเจือจาง สารแทนนิน มิให้ทำลายผิวฟัน และถ้าจะให้ดีควรเพิ่มนม ลงไปในชา หรือกาแฟด้วย “สารแทนนิน ใน ชาดำ และกาแฟ จะเข้าไปทำลายผิวเคลือบฟัน , ทั้งยังทำให้เกิดเป็นคราบฝังแน่นที่ผิวฝันอีกด้วย ฉะนั้นจึงแนะนำว่า ควรบริโภคเครื่องดื่มเหล่านี้อย่างพอเหมาะ และควรเพิ่มนม ลงในชา หรือกาแฟ ของคุณเพื่อช่วยต่อต้านกรดที่มีในชา และกาแฟเหล่านั้นด้วย” ประธานสถาบันทันตกรรม David F. Halpern ให้ข้อมูล

6. อดอาหาร ลดน้ำหนัก

เมื่ออยู่ในช่วงไดเอท (diet) บางคนตั้งหน้าตั้งตา จำกัดอาหาร หวังลดน้ำหนัก ควบคุมสัดส่วนให้สวยนิ้ง จนลืมคิดไปว่า การที่คุณสาวๆ รับประทานอาหารน้อยลงนั้น เป็นสาเหตุให้คุณขาดวิตามิน และแร่ธาตุที่สำคัญต่อเหงือก และ ฟัน ทั้ง โฟเลต (Folate) , วิตามินดี (Vitamin D) , โปรตีน (Protein) , แคลเซียม , วิตามินซี (Vitamin C) ฯลฯ นอกจากนี้พฤติกรรมการรับประทานน้อย ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ยังส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายต่ำลง จนอาจเกิดการติดเชื้อที่เหงือก และช่องปากได้ง่ายขึ้นอีกด้วย

7.ทานยาคุมกำเนิด

เกิดเป็นผู้หญิง ไม่ใช่เรื่องง่ายจริงๆ เพราะยาคุมกำเนิด ที่สาวมีคู่แล้ว ต้องรับประทานเพื่อคุมกำเนิดเนี้ย ส่งผลต่อการรักษาโรคเหงือก และฟัน ที่จะทำได้ยากขึ้น ทั้งนี้ มีการศึกษายืนยันว่า ผู้หญิงที่รับประทานยาคุมกำเนิด หากพวกเธอเกิดภาวะฟันผุ แล้วต้องไปถอนฟันนั้น มีแนวโน้มว่า ผู้หญิงกลุ่มนี้ จะเกิดภาวะการติดเชื้อ ที่เหงือกมากกว่าคนทั่วไป (ผู้ไม่รับประทานยาคุมกำเนิด) ถึง 2 เท่า ฉะนั้นหากคุณยังต้องรับประทานยาคุมกำเนิดจริงๆ แนะนำว่า ควรปรึกษากับทันตแพทย์ อย่างสม่ำเสมอ เพื่อคอยระมัดระวัง สอดส่องผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้น

8.ฮอร์โมนในช่วงวัยรุ่น เพิ่มความเสี่ยง โรคเหงือก

เป็นอีกเรื่องที่ต้องเตือนกันไว้ สำหรับ หนุ่ม-สาว แรกรุ่น ที่นอกจากเราจะทราบกันดี ว่าเมื่อ ฮอร์โมน (Hormone) ในช่วงวัยรุ่นพุ่งพล่าน นอกจากจะทำให้เกิดสิว หน้ามัน ฯลฯ แล้ว ยังสามารถทำให้เกิดภาวะเหงือกบวม และมีความเสี่ยงที่จะเกิดการติดเชื้อที่เหงือก เกิดโรคเหงือกอักเสบ และแผลในปากได้ง่ายขึ้น แต่ทั้งนี้ หากดูแลสุขอนามัยภายในช่องปากให้ดี แปรงฟันอย่างสม่ำเสมอ และพบแพทย์เป็นประจำ ก็จะสามารถลดความเสี่ยงในเรื่องนี้ได้ค่ะ

9. การฟอกฟัน ให้ขาว

แม้ยังไม่ชัดเจนว่า การฟอกฟันขาวจะทำลายผิวฟัน แต่ก็มีงานวิจัยหลายชิ้น ที่ระบุว่า การฟอกฟันเพื่อให้ขาวใสนั้น สามารถส่งผลให้ผิวฟันบอบบาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทำบ่อยเกินไป ! ฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นการตัดสินใจฟอกสีฟันตามคลินิก(clinic) , ใช้เจลฟอกสีฟันด้วยตัวเองที่บ้าน หรือแม้กระทั่งใช้ยาสีฟันไวท์เทนนิ่ง (Whitening) ที่อาจมีฤทธิ์ในการกัดกร่อนผิวฟัน ควรพิจารณาให้ถ้วนถี่ และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเสมอจ้า


10.อายุเพิ่ม กระดูก - ฟัน ยิ่งอ่อนแอ

เป็นเรื่องธรรมดา ที่ต้องเตรียมใจค่ะ เมื่ออายุเพิ่มขึ้น กระดูก และฟัน ของเราย่อมเสื่อมไปตามกาลเวลา แม้เรื่องอายุจะหยุดยั้งไม่ได้ แต่คุณก็สามารถช่วยบรรเทา ความสึกหลอของฟันได้ ทั้งการรับประทานอาหารที่เปี่ยมไปด้วยแคลเซียม รวมถึงใช้ ยาสีฟัน ที่มีส่วนผสมของ ฟลูออไรด์ (fluoride) อย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันฟันผุ


"ผู้สูงอายุที่แปรงอย่างสม่ำเสมอด้วยยาสีฟันฟลูออไรด์ หรือบ้วนปากด้วยฟลูออไรด์ อย่างสม่ำเสมอ จะมีฟันผุน้อยกว่า ผู้ที่ไม่ได้ใช้ฟลูออไรด์”

5 สิ่งสำคัญที่มักคิดได้เมื่อสายไป



5 อันดับแรกที่คนส่วนใหญ่มักเสียใจที่ไม่ได้ทำสิ่งเหล่านี้ ขณะยังที่พวกเขายังแข็งแรงดีอยู่...

1. "ฉันอยากจะมีชีวิตที่เป็นของตัวเอง แทนที่จะเป็นในแบบที่คนอื่นอยากให้ฉันเป็น"
นี่เป็นอันดับแรกสุดที่หลายคนปรารถนาอยากให้มันเกิดขึ้นขณะที่พวกเขายังมีกำลังวังชาดี ณ เวลาปัจจุบันที่พวกเขามองย้อนกลับไป จึงได้พบว่ามีหลายความหวังและความฝัน ที่เขายังไม่มีโอกาสแม้แต่จะเริ่มต้นลงมือทำ พอมานึกได้ตอนนี้ก็สายเกินไปเสียแล้ว เขาไม่มีกำลังเหลือที่จะต่อสู้เพื่อความฝันอีกต่อไป ตลอดเวลาที่ผ่านมาพวกเขาล้วนแต่วิ่งไล่ตามสิ่งที่คนอื่นอยากเห็นเขาทำ อยากให้เขาเป็น จนลืมไล่ตามความฝันของตัวเอง ในหนึ่งชีวิตที่ได้เกิดมานั้น การได้ทำสิ่งต่าง ๆ ตามที่เราใฝ่ฝันถือว่าสำคัญที่สุด ถึงจะสำเร็จหรือไม่ก็ตาม แต่อย่างน้อยขอเพียงให้ได้ลงมือทำ เพราะหากละทิ้งปล่อยให้มันผ่านล่วงเลยไปจนวันที่สุขภาพไม่เอื้ออำนวยแล้ว แม้จะอยากไล่ตามความฝันแค่ไหนก็ทำไม่ได้อีกต่อไป

2. "ฉันไม่น่าจะทุ่มเททำแต่งานมากขนาดนั้น"
คนไข้ชายแทบทุกคนพูดเช่นนี้กับเธอ เพราะผู้ชายพวกนั้นล้วนเป็นหัวหน้าครอบครัว และรับผิดชอบในการหาเงินมาจุนเจือดูแลสมาชิกในบ้าน เมื่อมองย้อนกลับไปพวกเขาจึงไม่อาจระงับความเสียใจได้ ที่ไม่ได้ใช้เวลากับลูก ๆ และภรรยาให้มากกว่านี้ พวกเขาเสียใจอย่างสุดซึ้งที่เอาแต่โหมทำงานหนักจนละเลยการใช้เวลากับครอบครัว ...มันคงจะดีกว่านี้ถ้าเราจะเพิ่มเวลาว่างให้แต่ละวันในชีวิต และใช้ช่วงเวลาเหล่านั้นกับบุคคลอันเป็นที่รัก มีความสุขในแต่ละวันมากขึ้น และไม่ต้องมานั่งเสียใจเมื่อสายเกินไปแบบนี้ด้วย

3. "ฉันน่าจะได้พูดเรื่องนั้นออกไป"
คนไข้หลาย ๆ คนเสียใจที่ตัวเองไม่ได้พูดในสิ่งที่อยากพูดออกมา หลายคนเลือกที่จะสงบปากสงบคำเอาไว้เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะ หรือผิดใจกับผู้อื่น จนทำให้อาการป่วยหลาย ๆ อย่างพัฒนาขึ้นมาจากความเครียดที่ต้องเก็บงำสิ่งเหล่านี้เอาไว้นั่นเอง ตลอดเวลาที่ผ่านมาจึงกล่าวได้ว่าผู้ป่วยของเธอไม่ได้แสดงความเป็นตัวของตัวเองที่แท้จริงออกมาเลย ไม่ว่าอย่างไร เราก็ไม่สามารถควบคุมความคิดของอีกฝ่ายที่จะมีต่อเราได้ การที่เราได้พูดในสิ่งที่ใจคิดออกไป แม้อาจทำให้อีกฝ่ายไม่พึงใจ แต่มันก็จะเปลี่ยนความสัมพันธ์ระหว่างเรากับบุคคลนั้นไปในทิศทางใหม่ที่ตรงไปตรงมาและจริงใจต่อกัน และคุณเองก็ไม่ต้องอึดอัดใจกับการที่ไม่สามารถพูดในสิ่งที่ตัวเองคิดออกไปได้ด้วย

4. "ฉันอยากใช้เวลากับเพื่อนสนิทให้มากกว่านี้"
หลายครั้งหลายหนนักที่กว่าเราจะเข้าใจความสำคัญและยิ่งใหญ่ของมิตรภาพก็เมื่อเวลาล่วงเลยจนสายเกินไป คนไข้จำนวนไม่น้อยของเธอต่างรู้สึกเสียใจที่ไม่ได้ให้เวลาในการบำรุงรักษามิตรภาพเก่าแก่ของตน ซึ่งส่วนหนึ่งนั้นเกิดจากวิถีการใช้ชีวิตแบบใหม่ที่ยุ่งและเร่งรีบเสียจนเวลาในหนึ่งวันไม่เหลือพอให้คิดถึงสหายที่เคยกอดคอร่วมกันมา แต่เมื่อเวลาผ่านพ้นไปจนถึงช่วงระยะเวลาสุดท้ายของชีวิต หนึ่งในสิ่งที่พวกเขาโหยหามากที่สุดก็คือความรักจากมิตรสหาย อยากพบหน้า อยากพูดคุย อยากใช้เวลาด้วยกันให้มากกว่าที่ผ่านมา
5. "ฉันอยากใช้ชีวิตให้มีความสุขมากกว่านี้"
คนไข้ที่พูดเช่นนี้หาได้ไม่พอใจในความเป็นอยู่ของชีวิตที่เคยเป็นมา แต่เป็นเพราะว่าเมื่อมองย้อนกลับไป พวกเขากลับพบหนทางมากมายเหลือเกินที่จะทำให้ชีวิตมีความสุขได้มากกว่าเดิม แต่พวกเขากลับไม่เลือกเดินทางนั้น ที่ผ่านมาพวกเขาใช้ชีวิตด้วยความหวาดกลัวต่อการเปลี่ยนแปลง กลัวสิ่งที่จะเปลี่ยนชีวิตที่เป็นอยู่ให้ต่างไปจากเดิม โดยที่ยังไม่รู้ว่าการเปลี่ยนแปลง นั้นจะเป็นไปในทิศทางใด จะดีหรือว่าร้าย ทำให้ชีวิตย่ำอยู่บนกรอบแคบ ๆ อันเดิม กิจวัตรในแต่ละวันคงเดิม ไม่มีความแปลกใหม่ ไม่มีสีสันที่จะทำให้ชีวิตน่าจดจำเลย ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว พวกเขาเองก็มีสิทธิ์เลือก เลือกทางเลือกที่จะหนีไปให้พ้นความซ้ำซากจำเจนี้ ในใจลึก ๆ แล้วทุกคนก็อยากจะกลับไปหัวเราะให้เต็มเสียงหรือทำตัวไร้สาระบ้าง ซึ่งคงมีเวลาทำมากว่านี้ ถ้าไม่มานึกได้เมื่อสายเกินไป

จากทั้ง 5 ข้อที่กล่าวมานี้ ดู ๆ แล้วก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ใคร ๆ ก็คิดได้ แต่คงด้วยความเป็นเรื่องธรรมดา ๆ นี่เอง หลายคนจึงได้มองข้ามมันไป เพราะคิดว่าทำเมื่อไรก็ได้ แต่คำว่าเมื่อไรนั้นก็มีจุดสิ้นสุดเช่นกัน และเมื่อมันสิ้นสุดลงในวันที่กายของเราทรุดโทรม ไร้กำลังทำสิ่งใด ๆ ได้แต่ปล่อยเวลาที่เหลือไปกับการคิด คิดถึงสิ่งที่อยากจะทำ แต่ยังไม่เคยได้ทำ และคงสายเกินไปแล้วที่จะทำ

วิธีการอ่าน/เขียนหนังสือด้วยปากกาสามสี

วิธีการใช้ปากกา 3 สีในการเรียนหรือว่าอ่านหนังสือจะช่วยให้การอ่านหนังสือของเรามีประสิทธิภาพมากขึ้น ปากกา 3 สี ที่เราคิดว่ามันสามารถประยุกต์ใช้กับทุกๆ คนได้จริงๆ ก็เพราะว่า หลักการมันง่ายนิดเดียว แต่เค้าบอกว่าผลลัพธ์ที่ได้มากมายเลย ปากกา 3 สี มี สีแดง สีเขียว สีน้ำเงิน วิธีการขีดเส้นใต้ด้วยสีทั้ง 3 นี้ก็คือ

สีน้ำเงิน - ในจุดทั่วๆ ไปที่เราคิดว่าค่อนข้างสำคัญ ซึ่งจุดที่เราขีดสีน้ำเงิน คือที่ๆ ไม่ว่าใครอ่าน ก็จะต้องคิดว่าตรงนี้ค่อนข้างสำคัญเหมือนกันหมด จะขีดมากขีดน้อยยังไงก็ได้ จะขีดจนหมดหน้าเลยก็ได้ แต่ว่าเค้าบอกว่าการขีดเส้นสีน้ำเงิน เมื่อเรากลับมาอ่านดูอีกรอบ จะเหมือนกับการย่อบทความหรือเรื่องที่เราอ่านออกมา คล้ายๆ กับการย่อความนั่นเอง

สีแดง - ขีดเฉพาะในจุดที่สำคัญมากๆๆๆๆๆๆๆๆ มากจริงๆ ไม่ว่าใครอ่านก็ต้องรู้ว่าตรงนี้สำคัญมาก ถ้าเราตัดสินได้แบบนั้นค่อยขีด ห้ามขีดเยอะ ให้ขีดได้แค่จุดที่สำคัญมากๆ จริงๆ เท่านั้น

สีเขียว - ขีดเฉพาะที่ๆ เราคิดว่า "น่าสนใจ" สีเขียวนี่เราคิดว่าเป็นจุดที่ประหลาดดี เค้าบอกว่าให้เราใช้ตัวเองเป็นคนตัดสิน ว่าตรงนี้ควรจะขีดสีเขียวหรือไม่ เวลาที่เราอ่านบทความอะไรซักอย่างหนึ่ง จำนวนของสีเขียวช่วยเป็นตัวบอกให้เรารู้ด้วยว่าเราสนใจ หรือว่าชอบบทความนั้นมากขนาดไหน

วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2554

เคล็ดลับ สุขภาพดี ด้วย 18 วิธี ง่ายๆ

สุขภาพดีอาจจะหาซื้อไม่ได้แต่เป็นเจ้าของได้แน่นอน ถ้าสาวๆ ทำตามเคล็ดลับเหล่านี้

1. แอปเปิ้ล แตงโม กล้วย กีวีต้องระวัง
ผลไม้ทั้ง 3 ชนิดนี้มีประโยชน์มาก แต่ถ้าคุณกำลังทานยาปฏิชีวนะอยู่ ผลไม้พวกนี้จะกลายเป็นโทษทันทีเพราะมันบูดในลำไส้ได้ง่าย อาจจะทำให้เกิดอาการอักเสบในระบบทางเดินอาหารได้

2. ผลไม้กับมื้ออาหาร
ก่อนทานอาหารควรจะเรยีกน้ำย่อยด้วยสับปะรดและมะละกอสัก 2-3 ชิ้น ผลไม้สองชนิดนี้มีเอนไซม์ที่จะช่วยให้กระเพาะย่อยอาหารมื้อหลักที่กำลังจะตามลงมาได้ง่ายขึ้น และหลังจากจบมื้ออร่อยแล้วควรตบท้ายด้วยแอปเปิ้ลสัก 1 ชิ้นเพื่อช่วยเพิ่มปริมาณน้ำลายซึ่งจะทำให้จำนวนแบคทีเรียในช่องปากลดลง และช่วยให้เหงือกแข็งแรงด้วย

3. อย่าปล่อยให้หิว
ควรจะทานอาหารให้ตรงเวลาทุกวันแม้จะยังไม่รู้สึกหิวก็ตาม เพราะเวลาที่เราหิวร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนควมเครียดออกมา ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้เป็นประจำก็จะทำให้คุณกลายเป็นสาวเครียด และนำไปสู่อาการความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หรือเบาหวาน
4. เนื้อสัตว์กับผลไม้ไม่เข้ากัน
ถ้าทานน้อยๆ ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ามื้อไหนคุณทานเนื้อเป็นจำนวนมากแล้วควรจะงดผลไม้ไป เพราะกว่าเนื้อจะย่อยหมดต้องใช้เวลานาน ส่าวนผลไม้ซึ่งย่อยเร็วจะถูกกักอยู่ในกระเพาะ จึงทำให้เกิดกรดในกระเพาะอาหารได้

5. นาฬิกาชีวภาพ
หลักการสุขภาพดีบอกไว้ว่าเราควรจะเข้านอนในเวลาเดียวกันทุกๆ วัน แต่ส่วนใหญ่พอถึงคืนวันศุกร์กับวันเสาร์เรามักจะนอนดึกเพราะถือว่าเป็นวันหยุด การทำอย่างนี้จะทำให้ความเคยชินหรือที่เรียกว่าชีวภาพของร่างกายรวรเร จึงไม่ต้องแปลกใจเลยที่วันจันทร์เราจะง่วงนอนกว่าปกติ

6. ความเครียดทำลายผิว
ถ้าอยากผิวสวย แก่ช้า ดูอ่อนกว่าวัย สิ่งแรกที่ต้องปรับคือความคิดของตัวเราเอง พยายามคิดในทางบวก มองโลกในแง่ดี หลีกเลี่ยงความคิดที่ทำให้ตึงเครียด เพื่อไม่ให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนความเครียดออกทำลายตัวเราเอง

7. หลีกเลี่ยงภาชนะพลาสติก
เพราะความร้อนรวมทั้งรสชาติเผ็ดเปรี้ยว เค็มจากอาหารสามารถเข้าไปกัดเซาะสารสังเคราะห์ในพลาสติกให้ละลายออกปะปนกับอาหารได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะการใช้ภาชนะพลาสติกใส่อาหารเข้าอุ่นในเตาไมโครเวฟยิ่งเป็นสิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยง เพราะเป็นการเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมเป็นอย่างมาก

8. อย่าประมาทอาการไอเรื้อรัง
หลังจากหายหวัดแล้วอาการไออาจจะยังไม่หายไป แต่สาวหลายคนมักจะไม่สนใจเพราะคิดว่าอาการไอเป็นเรื่องชิลๆ แต่ที่จริงอาการไอเรื้อรังร้ายแรงกว่าที่คุณคิด เพราะมันอาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัส ยาปฏิชีวนะ ที่หมอให้มารักษาอาการหวัดไม่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสได้ วิธีหยุดอาการไอที่ได้ผลที่สุดคือการดื่มน้ำบ่อยๆ เพื่อลดเสมหะในทางเดินหายใจ และนอนหลับให้เพียงพอเพื่อให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานได้เต็มที่

9. เท้าและข้อเท้าบวม
ถ้ามีอาการแบบนี้อย่าปล่อยไว้ เพราะฝ่าเท้าเป็นศูนย์รวมของเส้นประสาททั่วร่างกาย ถ้าบริเวณเท้ามีปัญหาก็จะส่งผลถึงร่างกายทุกส่วน วิธีแก้ไขคือให้นั่งยองๆ ทุกวันๆ ละ 15 นาทีจากนั้นก็ขยับข้อเท้าไปข้างหน้าและข้างหลังเพื่อช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น หลังจากนั้นใช้แปรงขนนุ่มๆ แปรงผิวหนังเบาๆ โดยเริ่มจากฝ่าเท้าแล้วค่อยๆ ปัดไล่ขึ้นมาที่ข้อเท้า น่อง ต้นขา ท้อง แขนไปจนสุดที่มือทั้งสองข้าง (ยกเว้นผู้ที่เป็นเบาหวานเพราะเสี่ยงจะเกิดบาดแผล) ตบท้ายด้วยการอาบน้ำอุ่นแล้วตามด้วยน้ำเย็น จะช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น

10. งดเครื่องดื่มคาเฟอีน
เครื่องดื่มพวกนี้ไม่ว่าจะเป็นชาหรือกาแฟ ปกติก็ไม่ควรดื่มอยู่แล้ว แต่ถ้าบังเอิญคุณเป็นโรคปวดหลัง เครื่องดื่มพวกนี้จะเป็นศัตรูของคุณไปทันที เพราะคาเฟอีนจะไปลดการหลั่งสารเอนโดรฟินซึ่งมีคุณสมบัติช่วยลดอาการปวดตามอวัยวะต่างๆ อาการปวดของคุณก็จะไม่หายหรืออาจจะเป็นมากขึ้นด้วย

11. ดื่มน้ำเร็ว...อันตราย
ใครๆ ก็บอกว่าควรจะดื่มน้ำให้ได้วันละ 8 แก้ว แต่ต้องค่อยๆ ดื่มไปตลอดวัน ไม่ใช่ทั้งวันไม่ดื่มเลย แล้วมารวบยอดเอาในครั้งเดียว เพราะการดื่มน้ำปริมาณมากๆ ในครั้งเดียวอาจทำให้เกิดอาการน้ำเป็นพิษเนื่องจากเลือดเจือจาง และอาจทำให้เป็นตะคริว กล้ามเนื้อเกร็งตามมา ยิ่งถ้าอาการเกร็งไปเกิดที่สมอง หัวใจ หรือปอด ก็อาจจะทำให้ระบบหายใจล้มเหลวและเสียชีวิตได้

12. แดดอ่อนตอนเช้า
แสงแดดยามเช้าจัดว่าเป็นยาตามธรรมชาติที่ทุกคนสามารถเป็นเจ้าของโดยไม่ต้องเสียเงินซื้อ นอกจากทำให้กระดูกแข็งแรงแล้วยังทำให้อารมณ์ดี เพราะแดดอ่อนๆ มีวิตามินที่ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารแห่งความสุข ออกมาต่อต้านอาการซึมเศร้าในตัวเรา คนที่เดินเล่นรับแดดอ่อนจึงมีหน้าตาเบิกบานกว่าคนที่มัวแต่หลบแดดอยู่ในบ้านมาก

13. เบาหวานอย่าทานไข่
ถ้าสมาชิกในครอบครัวคุณคนไหนเป็นเบาหวาน ควรให้เขางดไข่ไปเลย เพราะมีรายงานทางการแพทย์ว่าถ้าคนที่เป็นเบาหวานทานไข่อาทิตย์ละ 1 ฟอง จะมีโอกาสเป็นโรคหัวใจมากขึ้น

14. อยากผอมต้องน้ำเย็น
การดื่มน้ำเย็น 50 ออนซ์ จะช่วยเผาผลาญพลังงานเพิ่มขึ้นวันละ 50 แคลอรี ช่วยให้น้ำหนักลดลงปีละ 2.5 กิโลกรัม เพราะเมื่อเราดื่มน้ำเย็นร่างกายต้องใช้พลังงานในการทำให้น้ำนั้นเปลี่ยนอุณหภูมิเป็นอุณหภูมิปกติก่อน แล้วจึงนำไปใช้ได้ จึงเป็นการใช้พลังงานมากกว่าเดิม

15. สุขภาพดีทันทีที่ตื่น
ถ้าอยากดูแลสุขภาพพร้อมกับการเริ่มต้นวันใหม่ ทันทีที่ตื่นนอนสาวๆ ควรผสมน้ำส้มสายชู (ที่หมักจากผลแอปเปิ้ล) กับน้ำผึ้งในสัดส่วนเท่ากัน ใส่น้ำอุ่นนิดหน่อย คนให้เข้ากันแล้วนำมาดื่ม จะช่วยให้การดูดซึมของระบบลำไส้และการเผาผลาญของร่างกายทำงานได้ดีตลอดวัน

16. ผู้ชายอย่าพลาดมะเขือเทศ
สำหรับหนุ่มซ่าที่กำลังเริ่มมีอาการเตะปี๊ปไม่ดังหรือกลัวว่าจะเป็นหมัน มะเขือเทศคือผลไม้ที่คุณจะพลาดไม่ได้ เพราะมะเขือเทศสุกมีสารโคปีนสูงมาก ช่วยให้ต่อมลูกหมากทำงานได้ดี ประสิทธิ์ภาพและสมรรถภาพต่างๆ จึงทำงานได้เป็นปกติ ถ้าผู้ชายทานมะเขือเทศอย่างน้อยอาทิตย์ละ 10 ผลหรือมากกว่านั้น ความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก ก็จะน้อยลง 45 เปอร์เซ็นต์ ที่สำคัญควรจะทานแบบสุกๆ เช่น ทานเป็นน้ำพริกอ่อง สปาเก็ตตี้ เพราะเวลามะเขือเทศถูกความร้อนมันจะปล่อยสารไลโคปีนออกมามากขึ้น

17. ป้องกันกรดในกระเพาะอาหาร
สำหรับที่ท้องอืดบ่อย ควรลดปริมาณการดื่มน้ำผลไม้เข้มข้นอย่างเช่น มะนาว ส้ม ส้มโอ เกรฟฟรุต หรือน้ำมะเขือเทศสดนั่น เพราะน้ำพวกนี้มีกรดมากทำให้ท้องอืด หรือถ้าเสพติดไปแล้วอดไม่ได้จริงๆ ก็อาจจะทำให้เจือจางลงด้วยการผสมน้ำมากๆ

18. หลบอัลไซเมอร์ด้วยเกม
ถ้าไม่อยากเป็นอัลไซเมอร์หรือเป็นโรคขี้หลงขี้ลืม สาวๆ ควรจะฝึกสมองด้วยการเล่นเกมที่ต้องใช้สมาธิ เช่น ปริศนาอักษรไขว้ เกมในคอมพิวเตอร์ หรืออาจจะทำกิจกรรมที่ต้องใช้สมาธิอย่างเรียนดนตรี เล่นหมากรุก เป็นต้น เพราะเกมเหล่านี้จะช่วยให้ระบบประสาททำงานเชื่อมต่อกันอย่างมีประสิทธิภาพ

วันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2554

คุณรู้ไหมว่า เลขบัตรประชาชน 13หลักหมายความถึงอะไรบ้าง?

เลขบัตรประชาชนจะมีรูปแบบตัวเลขลักษณะ ดังตัวอย่างนี้ 1 1001 01245 29 9 (เขียนเว้นวรรค ตามแบบ) แต่ละหลักก็จะมีความหมายดังนี้

หลักที่ 1 (คือหมายเลข 1 ในตัวอย่าง) จะหมายถึง ประเภทบุคคล ซึ่งมีอยู่ 8 ประเภทได้แก่

  • ประเภทที่ 1 คือ คนที่เกิดและมีสัญชาติไทย และได้แจ้งเกิดภายในกำหนดเวลา หมายความว่า เด็กคนใดก็ตามที่เกิดตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2527เป็นต้นไป อันเป็นวันเริ่มแรกที่เขาประกาศให้ประชาชนทุกคน ต้องมีเลขประจำตัว 13 หลัก เมื่อพ่อแม่ผู้ปกครองไปแจ้งเกิดที่อำเภอ หรือสำนักทะเบียนในเขตที่อยู่ภายใน 15 วันนับแต่เกิดมา ตามที่กฎหมายกำหนด เด็กคนนั้นก็ถือเป็นบุคคลประเภท 1 และจะมีเลขประจำตัวขึ้นด้วยเลข 1 และก็ต่อด้วยเลขหลักอื่นๆ อีก 12 ตัว เป็น 1 1001 01245 29 9 เป็นต้น ซึ่งเลขนี้จะปรากฏในทะเบียนบ้าน
  • ประเภทที่ 2 คือ คนที่เกิดและมีสัญชาติไทย ได้แจ้งเกิดเกินกำหนดเวลา หมายความว่า เด็กคนใดก็ตามที่เกิดตั้งแต่วันที่1 มกราคม พ.ศ. 2527 เป็นต้นไป แล้วบังเอิญว่าพ่อแม่ผู้ปกครองลืมหรือติดธุระ ทำให้ไม่สามารถไปแจ้งเกิดที่อำเภอหรือเขตภายใน 15 วันตามกฎหมายกำหนด เมื่อไปแจ้งภายหลัง เด็กคนนั้นก็จะกลายเป็นบุคคลประเภท 2 และจะมีเลขตัวแรกในทะเบียนบ้านขึ้นด้วยเลข 2 ทันที
  • ประเภทที่ 3 คือ คนไทยและคนต่างด้าว ที่มีใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว และมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน ในสมัยเริ่มแรก(คือตั้งแต่ก่อนวันที่ 31 พฤษภาคม 2527) หมายความว่า บุคคลใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นคนไทย หรือคนต่างด้าว ที่มีใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว และมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน ณ ที่ใดที่หนึ่งในประเทศไทย มาตั้งแต่ก่อนวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2527คนนั้นถือว่าเป็นบุคคลประเภท 3 และก็จะมีเลขประจำตัวขึ้นต้นด้วยเลข 3
  • ประเภทที่ 4 คือ คนไทยและคนต่างด้าว ที่มีใบสำคัญคนต่างด้าวแต่แจ้งย้ายเข้า โดยยังไม่มีเลขประจำตัวประชาชน ในสมัยเริ่มแรก หมายความว่า คนไทยหรือคนต่างด้าว ที่มีใบสำคัญคนต่างด้าว ที่อาจจะเป็นบุคคลประเภท 3 คือมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเดิมอยู่แล้ว แต่ยังไม่ทันได้เลขประจำตัว ก็ขอย้ายบ้านไปเขตหรืออำเภออื่น ก่อนช่วงวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2527ก็จะเป็นบุคคลประเภท 4 ทันที
  • ประเภทที่ 5 คือ คนไทยที่ได้รับอนุมัติให้เพิ่มชื่อ เข้าไปในทะเบียนบ้านในกรณีตกสำรวจ หรือกรณีอื่นๆ
  • ประเภทที่ 6 คือ ผู้ที่เข้าเมืองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และผู้ที่เข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่อยู่ในลักษณะชั่วคราว กล่าวคือคนที่มาอาศัยอยู่ในประเทศไทย แต่ยังไม่ได้สัญชาติไทย เพราะทางการยังไม่รับรองทางกฎหมาย เช่น ชนกลุ่มน้อยตามชายแดนหรือชาวเขา กลุ่มนี้ถือว่าเป็นผู้เข้าเมืองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ส่วนบุคคลที่เข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่อยู่ชั่วคราว
  • ประเภทที่ 7 คือ บุตรของบุคคลประเภทที่ 6 ซึ่งเกิดในประเทศไทย คนกลุ่มนี้ในทะเบียนประวัติจะมีเลขประจำตัวขึ้นต้นด้วยเลข 7
  • ประเภทที่ 8 คือ คนต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยถูกต้องตามกฎหมาย คือ ผู้ที่ได้รับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว หรือคนที่ได้รับการแปลงสัญชาติเป็นสัญชาติไทย และคนที่ได้รับการให้สัญชาติไทย ตั้งแต่หลังวันที่ 31 พฤษภาคม 2527 เป็นต้นไปจนปัจจุบันคนกลุ่มนี้เลขในทะเบียนประวัติจะขึ้นด้วยเลข

คนทั้ง 8 ประเภทนี้ จะมีเพียงประเภทที่ 3, 4 และ 5 เท่านั้น ที่จะมีบัตรประชาชนได้เลย ส่วนประเภทที่ 1 และ 2 จะมีบัตรประชาชนได้ ก็ต่อเมื่อมีอายุถึงเกณฑ์ทำบัตรประจำตัวประชาชน คืออายุ 15 ปี แต่สำหรับบุคคลประเภทที่ 6, 7 และ 8จะมีเพียงทะเบียนประวัติเล่มสีเหลืองเท่านั้น จะไม่มีการออกบัตรประชาชนให้


วันพุธที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2554

Government asserts control


Local residents have been ordered not to interfere with flood management efforts like the building of the dyke pictured below to block floodwater from flowing into Khlong Prem Prachakorn.

Soldiers help people in communities near the Phra-in Racha sluice gate in Ayutthaya wade through strong flood currents. The water wastoo powerful for officials to close the sluice gate to save northern Bangkok from flooding yesterday. PATTANAPONG HIRUNARD

Govt makes barriers off-limits

Public prohibited from interfering in relief work

The government has declared water gates and flood barriers special control zones as it struggles not only with thedisaster but also with interference from protesting residents.

The provincial governors of Pathum Thani and Ayutthaya yesterday announced water gates, flood barriers and water pump stations had been declared off-limits to the public.

The announcement, issued under Section 31 of the Disaster Prevention and Mitigation Act, prohibits any persons fromdisrupting the authorities' disaster management work and gives powers to local administrative officials to remove or destroy any structures that obstruct disaster control operations.

Prime Minister Yingluck Shinawatra ordered the closure of Phra-in Racha sluice gate in Khlong Raphipat in Bang Pa-in district of Ayutthaya province, adjacent to Khlong 1 in Khlong Luang district of Pathum Thani yesterday.

The order came after week-long opposition from locals. The failure to close the sluice gate sent floodwater from Wang Noi district of Ayutthaya through Khlong 1 to Rangsit in Pathum Thani and further to Khlong Prem Prachakorn, which flowsdown to Bangkok.

Run-off from Pathum Thani and overflow from Khlong Prem Prachakorn has already flooded northern Bangkok.

Ms Yingluck ordered police to guard the Phra-in sluice gate and had Chatchawal Panyawatheenant, deputy director-general of the Irrigation Department, hold the key of the gate.

Irrigation officials, however, could not close the sluice gate due to strong flood currents.

Authorities build a dyke to block floodwater flowing into Khlong Prem Prachakorn in front of Wat Rangsit in Pathum Thani’s Muang district, despite opposition by residents nearby. THITI WANNAMONTHA


The announcements by the governors and the Prime Minister followed confrontations between the locals and authorities over flood relief measures.

On Saturday night, a group of tambon Khukot villagers in Pathum Thani's Lam Luk Ka district tried to disrupt the construction of a dyke by officials working to prevent floodwater flowing into Khlong Prem Prachakorn.

The villagers feared the dyke would prevent water from being drained out of their district. Gunshots were heard at thescene but there were no injuries. The officials were forced to retreat.

The prime minister yesterday expressed her concern about Don Muang and Laksi districts in northern Bangkok, which could suffer flooding from the northern runoff, and increasing water levels in Khlong Prem Prachakorn and Khlong Prapa.


She said floodwater would be drained through Bangkok's canals into the sea and told city residents it was inevitable they would be affected to some extent.

Overflows continued to flood areas near waterways in northern and some central parts of Bangkok yesterday.

Floods were expanding in Don Muang and Laksi districts because officials failed to block the water at Phra-in Racha sluice gate and repair a broken dyke along Khlong 2 in Pathum Thani.

Residents destroyed another part of the dyke under Khlong 2 bridge on Phahon Yothin Road, allowing floodwater to flow through Lam Luk Ka and into Khlong Prem Prachakorn.

See also: Bodies, crocs, little food send stress levels soaring http://bit.ly/oYfdF

Floods covered sections of Phahon Yothin Road in front of the National Memorial, the entrance of Don Mueang airport and the Royal Thai Air Force headquarters, as well as Song Prapha Road and Chaeng Watthana Road between Khlong Prapa and the government complex.

Communities along Khlong 2 in Sai Mai were 10-40cm under water.

Phahon Yothin Soi 54/1, which runs parallel to Khlong 2, was also slightly flooded.

However, the dyke along Khlong Hok Wa from Rittiyawannalai 2 School to the southern sluice gate of Khlong 2 remained higher than the level of the canal, despite its levels rising by about 30cm yesterday.

You can read the full story here: http://bit.ly/qEnWqk

assert – to make other people recognize your right or authority to do something, by behaving firmly and confidently แสดงสิทธิ์
community – the people living in one particular area ชุมชน
sluice gate – a gate that can be opened or closed to control the flow water along a passage ประตูน้ำปิดเปิดบังคับการไหลของน้ำในคลอง
wade – to walk with an effort through something, especially water or mud ลุย เดินท่องน้ำ หรือ โคลน
current – a strong movement of water in one direction กระแสน้ำ
barrier – a wall, pile of sandbags, etc., that prevents water from entering สิ่งกีดขวาง
off-limits – (of a place or area of land) not allowed to enter ที่ห้ามเข้า,ที่ไม่อนุญาตให้ผ่านเข้าไป
(the) public – people in general ประชาชน, สาธารณชน, มหาชน
prohibited –officially stopped from being done, especially by making it illegal (มีคำสั่ง)ห้าม
interfere – to deliberately become involved in a situation and try to influence the way that it develops, although you have no right to do this แทรกแซง
relief – help; assistance การช่วยให้พ้นภัย
declare – to announce officially that something is true or happening ประกาศ
zone – an area that has an important or typical feature; an area where a particular activity is allowed or not allowed พื้นที่, บริเวณ, เขต
struggle – to try hard to do something that you find very difficult พยายาม
disaster – something very bad that happens and causes a lot of damage or kills a lot of people ความหายนะ ภัยพิบัติ
protest – to make a strong complaint or disagreement ประท้วง
residents – people who live in a particular area ประชาชนที่อาศัยในท้องที่
issue – to officially announce or give out ออก, ออกประกาศ, ออกคำสั่ง
mitigation – a reduction in the harmful effects of something การบรรเทา การผ่อนคลาย
Act – a law passed by a country’s government พ.ร.บ. พระราชบัญญัติ
disrupt – to prevent something from continuing as usual or as expected ทำให้เสียกระบวน, ทำให้เสียระบบ, ทำให้สับสน
authorities – people who have the power to make decisions or enforce the law เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจ
local – in or related to the area that you live, or to the particular area that you are talking about ท้องถิ่น
structure – something large such as a building or a bridge that is built from different parts โครงสร้าง, สิ่งก่อสร้าง
obstruct – to make it difficult for something to happen or for someone to go somewhere ขวางทาง
operation – an activity which is planned to achieve something การดำเนินการ
adjacent - very near, next to, or touching ติดกัน
opposition – strong disagreement with a plan or policy ความขัดแย้ง
locals – people who live in a particular place ชาวบ้าน
flow – (of a liquid) to move continuously in one direction ไหล
run-off – rain, water or other liquid that runs off land into streams and rivers น้ำหลาก
overflow – (of a river or body of water) water flooding the land next to it การไหลล้น
guard – to watch a place carefully to protect someone from attack, to prevent something from being stolen, or to prevent someone from escaping เฝ้ายาม, ดูแล, รักษาความปลอดภัย
deputy – a person whose rank is immediately below that of the leader of an organisation รอง
(Royal) Irrigation Department – The Thai government department in charge of the country's irrigation system กรมชลประทาน
dyke – a wall built to prevent the sea or a river from covering an area, or a channel dug to take water away from an area เขื่อนกั้นน้ำ
block – to stop someone/ something from moving through or along something else ปิดกั้น, กีดขวาง
confrontation – a situation in which people or groups are arguing angrily or are fighting การเผชิญหน้า
measure – an action taken to solve a particular problem มาตรการ
drain – to cause water or fluid to flow out ระบายออก
scene – site; a place where something happens or happened สถานที่เกิดเหตุ
injury – physical damage done to a person or a part of their body อาการบาดเจ็บ
retreat – to move back or away ถอยกลับ
concern – a worry ความกังวล
suffer – to be badly affected by a very difficult or unpleasant situation ประสบความลำบาก
level – the amount of liquid that there is in a container, river, dam, etc., which can be seen by how high the liquid is ระดับ
inevitable – certain to happen ที่เลี่ยงไม่ได้
to some extent – somewhat ในระดับหนึ่ง
expand – to make or become larger ขยาย เพิ่ม
repair – to fix something that is broken or damaged ซ่อมบำรุง
section – any of the parts into which something is divided ส่วน, ส่วนที่ตัดออก, ส่วนย่อย
headquarters – the place where an organisation or company has its main offices กองบัญชาการ
complex – an area that has several parts พื้นที่ประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ
parallel – when the distance between two lines, etc. is the same all along their length ขนาน
slightly – small in size or amount เล็กน้อย